Home |
Under the Open Sky ใต้ท้องฟ้าคราม
นี่คือโปรแกรมหนังที่ทำหน้าที่ฉายเปิดเทศกาลหนังญี่ปุ่นปีนี้ของไทย หรือ Japan Film Festival 2022 #JFF2022 ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ กับหนังดราม่าสะท้อนสังคม “Under the Open Sky” ที่ตระเวนฉายไปตามเทศกาลหนังมาแล้วทั่วโลก และกำลังลุ้นรางวัลจากเวที Japan Academy Film Prize ที่จะประกาศในเร็วๆ นี้อยู่ด้วย ด้วยเนื้อหาที่ค่อนข้างโดนใจผู้ชมได้ไม่ยาก กับโอกาสที่ 2 ของคนที่เคยทำผิดพลาดและความหวังที่จะได้รับการยอมรับในปัจจุบัน จึงกลายออกมาเป็นหนังที่สอนชีวิตกันและกันได้เป็นอย่างดี รีวิวหนังออนไลน์
ผลงานเรื่องล่าสุดของนิชิคาวะมีชื่อว่า Under the Open Sky (2020) เพิ่งจะออกบลูเรย์พร้อมซับไตเติลภาษาอังกฤษเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คราวนี้นิชิคาวะเอานิยายของ ริวโซ ซากิ มาดัดแปลง ซึ่งซากิมักเขียนงานเกี่ยวกับอาชญากรรมญี่ปุ่นทั้งรูปแบบนิยายและ non-fiction หนังดังเรื่อง Vengeance Is Mine (1979) ของโชเฮ อิมามูระ ที่ว่าด้วยการหลบหนีของฆาตกรก็สร้างมาจากหนังสือของนักเขียนรายนี้
นักแสดงนำของ หนังฟรี Under the Open Sky คือยาคุโช เขารับบทเป็นมิคามิ อดีตยากูซ่าที่เพิ่งออกจากคุก หลังถูกคุมขังอยู่ 13 ปีด้วยข้อหาฆาตกรรม (แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่าเป็นการป้องกันตัวก็ตาม) มิคามิเป็นยากูซ่าโวยวายหัวร้อน ซึ่งเป็นภาพซ้ำของยากูซ่าที่ยาคุโชแสดงมาทั้งชีวิต หากแต่มิคามิก็แตกต่างจากยากูซ่าที่เราคุ้นชิน กล่าวคือเขาพยายามจะกลับเข้าสังคม อยากใช้ชีวิตแบบปกติ นั่นทำให้เขาต้อง ‘อยู่เป็น’ ด้วยการระงับอารมณ์โกรธและหัดพินอบพิเทาผู้อื่น
เช่นนั้นแล้ว แทนที่จะเป็นภาพยากูซ่าออกไปต่อยตีกับแก๊งคู่อริหรือถูกลงโทษด้วยการตัดนิ้ว หนังใหม่ Under the Open Sky กลับนำเสนอภาพยากูซ่าวัยกลางคนไปจ่ายตลาด แยกขยะ ติดต่อหน่วยงานราชการเพื่อหางานทำ รวมถึงสอบใบขับขี่เพื่อจะเป็นคนขับรถบรรทุก พร้อมกันนั้นหนังยังมีพล็อตอีกเส้นว่าด้วยทีมรายการโทรทัศน์ที่ตามถ่ายสารคดีชีวิตของมิคามิ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะสนใจแต่อดีตอันเลวร้ายของมิคามิเท่านั้น ราวกับว่าคนชายขอบจะมีตัวตนขึ้นมาได้ก็ด้วยความผิดแผกจากบรรทัดฐานสังคม
มีสองฉากใน เว็บดูหนัง Under the Open Sky ที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษ ฉากแรกคือตอนที่มิคามิกลับไปเยี่ยมสหายยากูซ่าเก่า อีกฝ่ายจัดการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่มิคามิจะได้เรียนรู้ว่าแก๊งของเพื่อนกำลังตกต่ำถึงขีดสุดและนี่เป็นช่วงสมัยที่ยากูซ่ากลายเป็นสิ่งตกยุคไปแล้ว ส่วนอีกฉากคือตอนที่มิคามิไปสืบร่องรอยของแม่ ณ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาเติบโตมา แม้ว่าพล็อตแนวตามหาแม่จะเป็นสิ่งสุดแสนคลิเช่ แต่ฉากนี้ยาคุโชก็แสดงถึงความเปราะบางของตัวละครออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
Under the Open Sky เล่าเรื่องราวชีวิตของ มิคามิ อดีตสมาชิกแก๊งยากูซ่า ที่ต้องถูกจองจำรับโทษติดคุกมา 13 ปี ในคดีฆาตกรรม และปัจจุบันเขากลายเป็นชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะพ้นโทษ กลับมาสู่โลกภายนอกอีกครั้งที่เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากนับตั้งแต่วันที่เขาเข้าไป เขาได้ส่งจดหมายไปให้รายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เพื่อให้ช่วยตามหาแม่ที่ทอดทิ้งให้เขากำพร้าตั้งแต่วัยเด็กๆ ทำให้ได้พบกับผู้กำกับ ทสึโนดะ ที่สนใจในเรื่องราวชีวิตของมิคามิ ดูหนังฟรี
ในขณะเดียวกัน มิคามิก็ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในการกลับเข้าสู่สังคมครั้งใหญ่ เขาที่มีประวัติด่างพล้อยกับคดีที่ติดตัว การจะลุกขึ้นยืนในสังคมทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขอแค่เพียงมีโอกาสที่จะให้เขาได้หยิบคว้า เขาจึงต้องพยายามอย่างหนักในการปรับความเข้ากับสังคมและความเปลี่ยนแปลง แม้ว่าการดำรงชีวิตอยู่เพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะต้องออกหางานทำที่ไม่น่าจะมีใครจะให้โอกาสสักเท่าไหร่นัก แต่จุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของอดีตคนคุกก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
นี่คือผลงานชิ้นล่าสุดของผู้กำกับหญิง เว็บดูนังฟรี “มิวะ นิชิกาว่า” (จาก Dear Doctor) ที่เธอยังรับหน้าที่ดัดแปลงเขียนบทหนังด้วยตัวเอง โดยอิงมาจากหนังสือของ เรียวโซะ ซากิ ที่อ้างอิงมาจากเค้าโครงประสบการณ์จริงของนักเขียนที่เคยพานพบมา ต้องว่าหนังเรื่องนี้ก็ค่อนข้างใช้สูตรสำเร็จสไตล์หนังญี่ปุ่นเข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักค่อนข้างเยอะ แต่หนังก็เป็นส่วนช่วยที่ทำให้หนังเพลินไปตลอดทั้งเรื่อง กับเนื้อหาที่ยังก็สะกิดใจและกินใจผู้ชมได้ไม่ยากอยู่แล้ว
หนังที่ยืนเรื่องหลักด้วยคาแรกเตอร์อดีตยากูซ่าที่ต้องการโอกาสครั้งใหม่ในสังคม เพียงเท่านี้ก็เป็นพล็อตที่น่าสนใจ และการเล่าเรื่องของหนังก็ถือว่าดำเนินไปตามสูตรและร้อยเรียงออกมาเป็นหนังดราม่าที่ให้แง่คิดและแรงบันดาลใจให้กับผู้ชมได้อยู่ไม่น้อย แต่หนังก็ยังสะท้อนถึงแนวคิดของสังคม โดยเฉพาะปัญหาความเหลือมล้ำและการมอบโอกาสใหม่ให้กับอดีตคนที่เคยทำผิดพลาด ในปรับปรุงตัวกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง
เป็นดั่งที่ในหนังมักจะกล่าวเสมอว่า “ผู้ต้องขังที่พ้นโทษจากเรือนจำออกมา ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับโอกาสให้เข้ากับสังคม จึงกลายเป็นว่าพวกเขาต้องเลือกกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม และไม่เกิน 5 ปีก็ต้องกลับมานอนคุกเป็นวังวนเดิม” ก็นับว่าเป็นประโยคที่ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด และหนังเรื่องนี้ก็ได้พยายามชี้ให้เห็นว่า “ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่ได้รับโอกาสใหม่เสมอ”
นักแสดงรุ่นใหญ่ “โคจิ ยาคุโช” คือแบกรับหนังทั้งเรื่องนี้เอาไว้ได้สบายๆ สไตล์การแสดงอันเป็นธรรมชาติของเขาเป็นเสน่ห์อย่างดี มีทั้งจังหวะเล่นใหญ่เล่นเล็กปะปนกันไป และก็ถ่ายทอดอารมณ์และกับชีวิตของคนมีประวัติได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแสดงผ่านสีหน้าและแววตาของเขา นับว่าออกมาเป็นซีนที่ยอดเยี่ยมอยู่หลายฉากเลยทีเดียว
อีกคนที่ไม่ควรมองข้ามไปก็คือ “ไทกะ นากะโนะ” นักแสดงหนุ่มยอดฝีมืออีกคน ที่สมศักดิ์กับการเป็นลูกชายนักแสดงเจ้าบทบาทจริงๆ ถึงแม้ว่าองค์ประกอบในตัวละครของเขาในเรื่องนี้จะไม่ได้มีมิติอะไรมากนัก แต่เทคนิควิธีที่เข้างัดมาใช้ในการออกแบบการแสดงในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องยอมนับว่าส่วนหนึ่งก็ได้ดีเพราะบทส่งเสริมคาแรกเตอร์ของเขาดีด้วย ดูหนังออนไลน์
ลุงมิคามิเคยใช้ชีวิตเป็นยากูซ่ามาก่อน วิถีคิดของเขาย่อมไม่ตรงกับสิ่งที่กฎหมายคิด แม้จะได้รับโทษ ใกล้ถึงวันพ้นจากคุก เขาก็ยังคงมองว่าตนไม่ได้ทำผิด คนที่อยู่ในทัณฑสถานมานานเช่นเขา เคยถูกตั้งข้อกล่าวหามา 10 คดี ได้รับโทษจริงไป 6 คดี แม้จะพูดว่าอยู่ในนั้นมา 13 ปี แต่ที่จริง วันเวลาของการอยู่ในกรงเหล็กมันเนิ่นนานกว่านั้น
การออกมาครั้งนี้ เขาจึงตั้งใจจะไม่กลับไปอีกแล้ว
ในวันที่เขาพ้นโทษออกมา ลุงเกิดความคิดว่าถึงเวลาต้องใช้ชีวิตปกติ แต่โลกภายนอกของคนเคยติดคุกนั้นไม่ง่ายเลย มันเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แตกต่างจากวันที่เขายังอยู่ในแก๊ง แม้กระทั่งความสามารถที่เคยได้มาตอนฝึกอาชีพในคุก ก็อาจกลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปเสียแล้วในตอนนี้
ยังดีที่รัฐเตรียมการบางอย่างเอาไว้ให้ ลุงมิคามิได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจเพียงพอหากใช้อย่างประหยัด แต่จะรับเงินช่วยเหลือเรื่อยไป ก็รังแต่จะถูกคนภายนอกค่อนขอด ความคิดที่อยากจะหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเองก็ผุดขึ้น ความพยายามโน่นนี่นั่นดูจะติดขัดไปหมด เพราะความที่เคยเป็นยากูซ่า และเคยติดคุกมาก่อน ติดที่มีนิสัยวู่วามอารมณ์ร้อน บวกกับสภาพร่างกายที่ทรุดโทรม ทุกอย่างรวมกันกลายเป็นอุปสรรคในการมีชีวิตใหม่ของลุง
แต่ชีวิตนอกคุกก็ไม่ได้ร้ายกับลุงไปเสียทั้งหมด ลุงได้รับความช่วยเหลือจากชายสูงวัยที่มีงานอดิเรกในการช่วยเหลือคนเพิ่งออกจากให้ปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ ลุงได้รับความเห็นใจจากชายแปลกหน้าที่เข้าใจผิดคิดว่าลุงขโมยของ ลุงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าทางการที่ลุงเรียกว่าเซ็นเซ
แต่คนที่โคตรจะสำคัญและเปลี่ยนแปลงชีวิตของลุง คือ ชายหนุ่มที่ทำงานทีวีคนนั้น
ทสึโนดะคุง คือ คนทำงานทีวีที่มีความคิดจะนำเสนอชีวิตของลุงจริงๆ ไม่ใช่ในฐานะสื่อทีวีที่หิวกระหายอยากได้คอนเทนต์ เขาไม่เห็นด้วยเลยกับการถ่ายทุกสิ่งที่ลุงกระทำในช่วงเวลาของการปรับตัว เพียงเพื่อจะเอาไปออกทีวี แต่ไม่ได้สนใจความเป็นไปของชีวิตลุง อย่างน้อยเขาก็ควรจะทำอะไรที่แตกต่างไปจากการมองเห็นความผิดพลาดของคนอื่นแล้วนิ่งดูดาย ปล่อยผ่านไปไม่ใยดี
ใต้ท้องฟ้าคราม คือหนังที่บอกเล่าว่า คนที่เคยติดคุกคือคนชายขอบ เมื่อเขาออกมาจากกรงขัง เขาจะไม่ใช่คนที่สังคมต้องการ ถูกละเลย มองไม่เห็นว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ขณะเดียวกัน สวัสดิการของรัฐที่มีให้เขาก็อาจไม่เพียงพอให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ส่งเสริมให้เขาได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตภายนอกคุกเท่าที่ควร ทำให้คนที่เคยติดคุกส่วนใหญ่ ออกมาภายนอกได้ไม่นาน ก็ต้องหันกลับไปทำผิด …และติดคุกอีกครั้ง
Under the Open Sky ยังมีลักษณะตรงกับสิ่งที่ผู้เขียนสังเกตเห็นในภาพยนตร์ญี่ปุ่นในช่วงสิบปีนี้ นั่นคือการใช้หอคอยโตเกียวสกายทรี เป็นสัญลักษณ์ขับเน้นถึงยุคสมัยใหม่ที่โหดร้ายและต้องดิ้นรน อย่างในเรื่องนี้ก็มีการแทรกภาพสกายทรีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิชิคาวะเคยใช้มาแล้วเมื่อตอนทำ Dreams for Sale (2012) ในทางกลับกัน โตเกียวทาวเวอร์ มักสื่อความถึงความเรืองรองและอบอุ่นใจในอดีต อย่างเช่นตอนที่มิคามิจะเดินทางไปหาเพื่อนเก่า หนังก็ใส่ภาพโตเกียวทาวเวอร์เข้ามาทันที
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เป็นข้อเด่นที่สุดของ Under the Open Sky คือมันเป็นหนังที่ผู้กำกับทำออกมาได้ ‘พอดี’ ไม่เบามือหรือหนักมือเกินไป หนังไม่ได้โบยตีตัวละครจนเกินเหตุ ไม่ได้เห็นอกเห็นใจหรือโลกสวยเกินไป (ซึ่งหนังว่าด้วยตัวละครผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ชอบทำกัน) อีกทั้งยังเว้นช่องว่างให้คนดูตีความ เช่นว่าคนอย่างมิคามินั้นสมควรได้โอกาสแก้ตัวหรือไม่ โอกาสที่เขาได้มาถือว่าสายเกินไปหรือเปล่า และภาพท้องฟ้าสีครามที่ปรากฏในหนังแทบทั้งเรื่องนั้นถือเป็นความหวังหรือความว่างเปล่ากันแน่ซึ่งผู้ชมแต่ละคนก็คงมองท้องฟ้าในภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างกันไป
โดยภาพรวมแล้ว Under the Open Sky ถือว่าเป็นหนังดราม่าที่มีการใส่ความเป็นญี่ปุ่นอยู่พอประมาณ แต่ด้วยเนื้อหาและโครงเรื่องที่น่าสนใจและกินใจได้ไม่ยาก จึงกลายเป็นส่วนเชื่อมและจุดประกายให้กับผู้ชมรู้สึกเพลินไปด้วยตลอดทาง แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีความโดดเด่นประทับใจอะไรมากเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยๆ หนังก็ได้สอดแทรกประเด็นและมุมมองปัญหาสังคมอีกแง่หนึ่ง ที่เป็นเครื่องเตือนใจและสะท้อนกลับมาหาผู้ชม…กับการพินิจพิเคราะห์ที่จะอ้าแขนให้โอกาสครั้งใหม่กับคนที่เคยผิดพลาดอีกครั้งให้ได้ไตร่ตรองดู
หนังเปิดให้เราเห็นว่า สังคมไม่เปิดรับการกลับมาอยู่ร่วมของคนคุก แม้แต่สวัสดิการก็ยังเอื้อไม่พอ ทำให้เขาแทบไม่มีที่ยืนในสังคม ในหนัง ชี้ให้เห็นชีวิตในวัยเด็กของลุงมิคามิ ทำให้มองเห็นว่าทำไมเมื่อโตขึ้น ลุงจึงกลายมาเป็นยากูซ่า การติดคุกมาเป็นสิบปี โลกภายนอกเปลี่ยนไปเยอะมาก และหนังก็พาไปสำรวจทุกซอกทุกมุม เหมือนให้ลุงได้ลองไปเจอแล้วทุกอย่าง มองเห็นความเป็นไปของทุกอย่าง หนังค่อยๆ พาให้เราซึมซับและเข้าใจ พาเราหมองหม่นดำดิ่ง แล้วพาเรารู้สึกมองเห็นแสงแห่งความหวัง แต่ท้องฟ้าสีครามที่เงยแหงนมองขึ้นไปนั้น
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลับไหลริน