Home |
Last modified พฤษภาคม 27th, 2022 at 01:03 pm
The Guilty เรื่องระทึกที่ปลายสาย
จะเป็นอย่างไร หากคุณเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับสายโทรศัพท์ฉุกเฉินที่ความเป็นความตายของเขาขึ้นอยู่กับคุณ แล้วคุณต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ได้โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากติดต่อประสานงานเท่านั้น แถมยังมีอุปสรรคสอดแทรกอีกมากมาย นี่คือหนังดราม่าเทลเลอร์แนวแสดงเดี่ยวกำหนดพื้นที่อยู่ในที่เดียวสุดท้ายทายที่สุดเรื่องหนึ่งของ เจก จิลเลนฮาล ที่รับบทเป็นตำรวจรับสายฉุกเฉินที่ต้องแก้ไขสถานการณ์ของผู้อยู่ในสายฉุกเฉิน รวมถึงแก้ไขสถานการณ์ชีวิตของตัวเองไปพร้อม ๆ กัน รีวิวหนังออนไลน์
The Guilty เล่าเรื่องราวของ โจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่ประจำสายด่วนฉุกเฉิน 911 ที่ต้องมาเข้ากะปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวในวันหยุดของทีม เขาได้รับสายแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งที่อ้างว่ากำลังถูกลักพาตัว ทำให้เขาต้องหาวิธีและหนทางในการช่วยเหลือเหยื่อสาวผู้นี้ แต่ปรากกฏว่าเหมือนอะไรๆ จะซับซ้อนและไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ เขาจึงต้องพยายามสืบหาความจริง และเขาก็ยิ่งเผชิญหน้ากับความจริงที่ของตัวเองด้วย
เช้าวันหนึ่ง ณ ศูนย์รับเรื่อง 911 โดยโอเปอเรเตอร์ โจ เบย์เลอร์ พยายามช่วยชีวิตผู้ที่โทรเข้ามาซึ่งตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง แต่เขากลับได้พบว่าอะไร ๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คิด และยิ่งถลำดำดิ่งกับการช่วยชีวิตคนตรงหน้าอย่างหลงทาง ในขณะที่เวลามีชีวิตรอดของเหยื่อก็ขมวดเข้ามาทุกที ดูหนัง The Guilty เรื่องระทึกที่ปลายสาย
แน่นอนว่า “เจค จิลเลนฮาน” แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด ด้วยการแสดงที่เป็นมืออาชีพของเขา ตลอดเวลาเกือบ 90 นาทีของหนัง คนดูจะไม่ได้เห็นอะไรเลย มีแค่ซึบซับเหตุการณ์ผ่านเสียงและภาวะทางอารมณ์ของตัวละครที่ชื่อ โจ ไปตลอดทั้งเรื่อง นี่อาจจะไม่ใช่การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่อะไรเลย แต่สถานการณ์ในหนังก็สามารถทำให้คนดูคล้อยตามและสนุกไปกับท้องเรื่องได้ไม่ยาก
การถ่ายทอดและตีความคาแรกเตอร์ตัวละครนี้ของ เจล จิลเลนฮาน เต็มไปด้วยมิติที่น่าสนใจดี แม้ว่าบุคลิกของเขาจะถูกเป็นคนโผงผางและอารมณ์ร้อนตามสถานการณ์ แต่เขาก็ยังมีมุมความอ่อนโยนและพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกคนอื่นๆ เจคได้ครองบทนี้ออกมาได้ดี เป็นการแสดงที่ไม่ได้เยอะล้นเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เบาบางเช่นกัน
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับ “อองตวน ฟูควา” ที่ได้ยินว่าเป็นการทำงานในช่วงโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดหนัก และการถ่ายทำต้องใช้วิธีการทำงานแบบ New Normal ที่ต้องรักษาระยะต่อกันด้วย ทำให้นักแสดงกับผู้กำกับต้องอยู่คนละที่กันระหว่างการทำงาน และประสานงานสื่อสารกันผ่านวิทยุสื่อสารใน 2 วันที่ต้องออกกองถ่ายทำหนังเรื่องนี้
และนอกจาก เจค จิลเลนฮาน แล้ว ในหนัง The Guilty ยังมีนักแสดงชั้นนำคนอื่นๆ มาร่วมแสดงเรื่องนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น “ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด”, “ไรลีย์ คีโอ”, “อีธาน ฮอว์ก” หรือ “พอล ดาโน” แต่พวกเขามารับเชิญในรูปแบบเสียงสนทนาเท่านั้น และเข้ามาช่วยเติมเต็มการเล่าเรื่องในหนังแต่เป็นอย่างดี แต่หนังก็ยังมี “เอเดรียน มาร์ติเนซ”, “คริสตินา ไวดาล” และ “เดวิด แคสเทนด้า” ร่วมแสดงเข้าฉากสมทบในหนังเรื่องนี้ด้วย ดูหนังออนไลน์
โดยภาพรวมแล้ว The Guilty เป็นหนังที่ดูสนุกได้เพราะสถานการณ์พาไป แม้ว่าเรื่องราวอาจจะเครียดและกดดัน แต่ลูกเล่นที่หนังปล่อยให้คนดูตามติดเรื่องราวด้วยแค่วิธีการฟังเสียงเพียงเท่านั้น เป็นไฮไลท์ที่โดดเด่นและทำให้คนดูแทบละลายตาไปจากหนังเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบใดๆ แต่มันก็เพลิดเพลินได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเล่าเรื่องด้วยภาพเหตุการณ์เลย
เอาเป็นว่าแค่ได้ดูการแสดงดีๆ ของผู้ชายชื่อ เจค จิลเลนฮาน ตลอดทั้งเรื่อง ก็ถือว่าเป็นกำไรแล้วจริงๆ นอกจากนี้ยังมีประโยคหนึ่งในหนัง ที่น่าจะเป็นบทคำพูดไฮไลท์ของเรื่องก็อาจจะเป็นไปได้ ที่พูดว่า “Broken people save broken people” (“สุดท้ายคนมีปมก็มาช่วยกันเอง”) นี่น่าจะกลายเป็นประโยคที่ช่วยอธิบายหนังโครงสร้างทั้งหมดของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เว็บดูหนัง
น่าจะเป็นการหวนกลับมาทำหนังแนวดราม่าตำรวจที่เคยสร้างชื่ออีกครั้งของผู้กำกับผิวดำคนดังอย่าง อังตอน ฟูกัว (Antoine Fuqua) ที่หลายคนก็น่าจะยังคงจำได้ดีอย่าง ‘Training Day’ (2001) หรือเรื่องหลังหน่อยก็ ‘Brooklyn’s Finest’ (2009) และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขามาทำหนังลงบริการสตรีมมิงชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งก็เป็นความร่วมมือที่น่าสนใจทีเดียว
แม้จะน่าเสียดายนิดหน่อยที่ฟูกัวไม่ได้ทำหนังออริจินัลลงเน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นนำหนังเดนมาร์กชื่อเรื่องเดียวกันของ กุสตาฟ โมลเลอร์ (Gustav Möller) เมื่อปี 2018 มารีเมก แถมบางคนยังอาจนึกไปถึงหนังอย่าง ‘The Call’ (2013) ที่ ฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) แสดงนำในบทพนักงานประจำสายด่วน 911 เข้าเสียอีก
แต่เอาเข้าจริงในขณะที่ ‘The Call’ จะนำเสนอในแนวทางธริลเลอร์ชัดเจนมีการตัดสลับเหตุการณ์คู่ขนานในที่ตัวเอกทำงานและภายนอกที่เป็นที่เกิดเหตุ ‘The Guilty’ กลับเด่นที่ธีมที่ต้องการเล่า โดยเอารูปแบบของดราม่าธริลเลอร์มาเป็นอาภรณ์เสียมากกว่า และความเด็ดดวงที่สุดก็คงไม่พ้นการที่หนังท้าทายนักแสดงและผู้ชม ด้วยการให้เห็นภาพแค่ในห้องทำงานของตัวเอกเป็นหลักโดยแทบไม่เคยตัดภาพออกไปยังโลกภายนอกเลยด้วย
ทุกอย่างที่เราได้รับรู้จะผ่านเสียงการสนทนาที่เราต้องจินตนาการเอาเองว่าปลายสายจะมีบุคลิกอย่างไร มีความสัมพันธ์แบบใดกับตัวเอก และตอนนี้เหตุการคับขันนั้นดำเนินไปอย่างไรแล้ว โดยทั้งนี้ตัวช่วยของเราในการรับรู้เรื่องราวก็มีเพียงสีหน้าท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวเอกเท่านั้น
ความท้าทายที่ต้องแบกหนังเพียงลำพังแบบนี้ น่าจะเป็นของโปรดสำหรับนักแสดงสายฝีมืออย่าง เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) เลยทีเดียว ด้วยก่อนหน้าไม่นานเขาก็เพิ่งมีผลงานชั้นดีร่วมกับฟูกัวมาแล้วในหนังหมัดมวยดราม่าเรื่อง ‘Southpaw’ (2015) พอมาเรื่องนี้เขาต้องรับบท โจ เบย์เลอร์ ตำรวจที่มีปัญหาชีวิตบางอย่างจนทำให้เขาดูเคร่งเครียดเหมือนคนสติแตกอยู่ตลอดเวลา ดูหนังฟรี
ความกระวนกระวายจนพาลเอานิสัยแย่ ๆ ใส่เพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ทำให้เขาดูเป็นตัวละครตำรวจสีเทา ๆ ที่เรายังไม่รู้ว่าเขาทำผิดพลาดในชีวิตอะไรมา ซึ่งหนังจะค่อย ๆ เผยให้เราทราบเรื่องราวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปพร้อมกับสถานการณ์สายหญิงสาวที่โทรมาร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากการถูกลักพาตัว ที่ยิ่งเรื่องเดินไป ข้อมูลยิ่งมากขึ้นและความรุนแรงของคดีก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นด้วย พอผสมกับความไม่นิ่งขาดสติของตัวเบย์เลอร์เข้าด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงทุกที
และการที่ผู้ชม (รวมถึงเบย์เลอร์) ต้องคิดไขสถานการณ์ผ่านเพียงเสียงบอกเล่าต่าง ๆ ทางโทรศัพท์เท่านั้น มันก็เลยเป็นรสชาติใหม่ ๆ สำหรับหนังแนวสืบสวน ที่เอาลูกเล่นนี้มาสนองตอบต่อธีมหรือสาระที่ต้องการเน้นย้ำได้อย่างน่าสนใจ น่าเสียดายเพียงว่าการคลี่คลายคดีกับการคลายปมในใจของเบย์เลอร์ที่เป็นธีมใหญ่ของเรื่องมันไม่ได้สอดรับกันนัก คือมันก็พอแถให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันสะท้อนซึ่งกันและกันชัด ๆ มันจะสวยกว่านี้แน่นอน
พอดูจบมาถึงเครดิตนักแสดงก็ยิ่งได้ว้าวขึ้นอีก เพราะในบรรดาเสียงทางโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาล้วนมีนักแสดงดังมารับเชิญเช่น อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard) และ พอล ดาโน (Paul Dano) เป็นต้น นี่จึงเป็นข้อแนะนำอีกอย่างว่าควรเปิดดูเสียงภาษาอังกฤษไปเลยคุ้มกว่า ส่วนใครมาตอนไหนเป็นตัวละครอะไรบ้าง อันนี้ไว้เป็นความสนุกในการทายและลุ้นของแต่ละคนเองเลย
นี่คือหนังแนวดราม่าระทึกขวัญ ที่มีข้อจำกัดในด้านของพื้นที่ ข้อจำกัดของเวลา ข้อจำกัดของสถานการณ์ รวมถึงข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ตัวละครโจ เบย์เลอร์ รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านเสียงที่ได้ยินเท่านั้น เขาจึงทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกอย่างที่ได้ยิน ตีความหมาย คาดเดาสถานการณ์ และจำเป็นต้องตัดสินใจในการช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัว ซึ่งเราในฐานะคนดูก็จะได้รับรู้ทุกอย่างตามที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ได้ยินไปพร้อม ๆ กับเขา
แน่นอนว่าการที่หนังได้ทำให้มีข้อจำกัดมากขนาดนี้ ก็สามารถชักจูงคนดูให้คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่างของหนังไปได้ และทุกครั้งที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ตัดสินใจทำอะไรไปเราก็คอยหรือเห็นดีเห็นชอบกับการตัดสินใจไปด้วย และเมื่อถึงเวลาที่หนังหักมุม เราจึงรู้สึกประหลาดใจทุกครั้ง และหนังยังหักมุมหลายครั้งตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งในแง่การหักมุมไม่ว่าจะเป็นการหักมุมกลางเรื่องหรือหักมุมช่วงท้ายเรื่องนั้นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว เว็บดูหนังฟรี
จากนั้นหนังก็สรุปว่า หญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ 911 นั้นมีอาการทางจิต เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจิตเวช รักษาตัวด้วยการกินยา ซึ่งค่ายานั้นสูงมากจนสามีของเธอไม่มีเงินมาจ่ายค่ายา และให้เธอหยุดการใช้ยา
เจก จิลเลนฮาล คือหนึ่งในนักแสดงคุณภาพที่สามารถเล่นหนังแนวแสดงเดี่ยวได้และตีบทแตกได้อย่างดีเยี่ยม ไม่แพ้ในหนังหลายเรื่องที่จำกัดผู้เล่นเพียงแค่คนเดียว จำกัดพื้นที่ที่เดียว อย่างทอมแฮงค์ในเรื่อง Cast Away แซนดร้า บูลล็อคจากเรื่อง The Gravity ไรอันเรย์ โนลส์จาก Buried เป็นต้น
สิ่งที่สำคัญของเรื่องอย่างการที่ให้เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์แล้วก็แก้ไขสถานการณ์ด้วยการติดต่อประสานงานช่วยเหลือนั้น ก็ไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไร มีหนังและซีรีส์ทำนองเดียวกันนี้สร้างมาแล้วหลายเรื่องอย่าง The Call ต่อสายผ่าเส้นตาย (2013) Voice สายด่วนเสียงมรณะ (2017) ซึ่งไทยก็นำมารีเมคสร้างเป็นละครในชื่อ Voice สัมผัสเสียงมรณะ (2020) เป็นต้น ดังนั้นประเด็นสำคัญของเรื่องอย่างเช่นการช่วยเหลือคนในสายด่วน มันก็คือการคลายปมในใจของตัวละครด้วยนั่นเอง จึงแทบไม่ได้มีประเด็นอะไรหรอกจนทำให้เรารู้สึกประทับมจอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอารมณ์ของหนังจะเป็นแนวดราม่าระทึกขวัญ สถานการณ์บีบบังคับอารมณ์ให้กับคนดูตลอดทั้งเรื่อง แต่ในช่วงท้ายที่สุด เขาก็สามารถทำให้เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้แม้จะอยู่ในจุดที่เลวร้ายมากขนาดไหน ก็ยังมีความหวังอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งถ้าหากเราหาความหวังจากสิ่งนั้นได้ เราก็จะแก้ไขสถานการณ์ทุกอย่างไปได้อย่างดี และในขณะเดียวกันหากเรารู้สึกผิด สำนึกตน และยอมรับความผิดที่เราทำมา นี่คือสิ่งที่จะทำให้ปลดล็อคความทุกข์ที่ในใจทั้งหมดได้อย่างดีที่สุดนั่นเอง