The Flu มหันตภัยไข้หวัดมฤตยู
หนังแนวภัยพิบัตินั้น รีวิวหนังออนไลน์ เป็นสไตล์หนังโปรดปรานของผู้ชมทั่วโลกที่ชื่นชอบในการเห็นภาพจำลองเหตุการณ์ความวุ่นวาย ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเราต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายเข้าขั้นวิกฤตจนผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก หนังฟรี ตัวเอกของเรื่องจะรอดชีวิตได้ไหม แล้วชะตากรรมของมวลมนุษยชาติจะเป็นอย่างไรต่อไป
ภาพยนตร์เกาหลีสุดสะเทือนใจเรื่องนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ดูหนังออนไลน์ นับตั้งแต่ที่เข้าฉายเมื่อปี 2013 จนถึงปัจจุบัน ดูหนังฟรี ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของการเผชิญกับ เชื้อไวรัส H5N1 ที่เรียกได้ว่าเป็นโรคระบาดเขย่าขวัญโลก ด้วยฝีมือของผู้กำกับฝีมือดี คิมซองซู ที่กำกับภาพยนตร์ Asura: The City of Madness (2016)
THE FLU เป็นหนังเกาหลีตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งผมก็มารู้จักหนังเรื่องนี้จากเหตุการณ์ระบาดของไวรัส COVID-19 นี่ล่ะครับ ด้วยความที่อาการของโรคระบาดในเรื่องเป็นหวัดเหมือนกัน ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเช่นการจามแล้วระบาด ดูสมจริงสมจังมาก แต่อาการของโรคในหนังดูน่ากลัวแบบไอเป็นเลือดอย่างจริงจังมาก ทำให้เนื้อหาในเรื่องโกลาหลกว่าความเป็นจริงขึ้นไปอีก
ภาพยนตร์ภัยพิบัติของชาวเกาหลีใต้ เขียนบทและกำกับโดย “คิมซองซู” ว่าด้วยเรื่องราวของการระบาดไข้หวัดสายพันธุ์มรณะ ที่จะฆ่าเหยื่อภายใน 36 ชั่วโมง ส่งผลให้ประชากรเกือบ 5 แสนคน เกิดความหวาดกลัวกลายเป็นเหตุจลาจลย่อม ๆ ตัวละครหลักเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มีนิสัยบ้าบิ่น “คังจีกู” และคุณหมอสาวแสนสวย “คิมอินแฮ” โดยตัวเรื่องเล่าถึงแก๊งค์ค้ามนุษย์ข้ามชาติลักลอบนำแรงงานต่างด้าว ข้ามฝั่งจากประเทศจีนมายังเกาหลีใต้ โดยซุกซ่อนอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ แต่เพราะสาเหตุใดไม่ทราบแน่ชัด เหล่าแรงงานได้เสียชีวิตไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงเด็กหนุ่มที่ชื่อ “มงไซ” แน่นอนว่าเขาคือพาหะนำโรคไข้หวัดมรณะมาสู่คน โรคนี้แพร่ระบาดไปยังเมืองต่าง ๆ ในเกาหลี จนเกิดความโกลาหลไปทั่ว ทางรัฐจึงต้องปิดล้อมทั้งเมืองไว้ ก่อนจะจัดการด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด
เป็นหนังที่เหมาะกับการเอามาดูในช่วงโควิดระบาดอย่างมาก
สาเหตุการระบาดในหนัง คือ “มีชาวต่างด้าวลักลอบข้ามดินแดนมาที่เกาหลี หลุดรอดจากเจ้าหน้าที่ไปได้ และหนึ่งในชาวต่างด้าวก็มีไวรัสสายพันธุ์ติดตัวมาจนเป็นต้นเหตุให้คนในเกาหลีตายเป็นเบือ
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อมีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ และ 1 ในจำนวนผู้อพยพนั้นมีเชื้อไวรัส H5N1 เมื่อตู้คอนเทนเนอร์นั้นเดินทางมาถึงท่าเรือปรากฏว่า คนทั้งตู้กลับติดเชื้อและตายกันทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
อย่างที่เราทราบกันดีว่าจุดเริ่มต้นของไวรัสโคโรน่า 2019 นั้นเริ่มต้นระบาดที่ตลาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนที่ไวรัสดังกล่าวจะเกิดการแพร่กระจายไปตามทวีปต่างๆอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ทั้งโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณสุขในหลายประเทศที่ไม่อาจจะดูแลจัดการผู้ป่วยได้อย่างเป็นระบบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจ และอีกมากมายหลากหลายปัญหาที่แต่ละประเทศยังแก้ไม่ตก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่อง Flu มีความคล้ายคลึงการระบาดของไวรัสโคโรน่าและได้เล่าถึงแรงงานต่างด้าวที่ต้องการเดินทางเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายโดยที่พวกเขา เดินทางเข้ามาในประเทศด้วยการแอบอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าจากประเทศฮ่องกง หนึ่งในแรงงานหลากหลายชีวิตที่อัดแน่นกันอยู่นั้นกำลังป่วยเป็นไข้หวัดประหลาด
ภายหลังจากที่ตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกแรงงานต่างด้าวมาถึงท่าเรือเมืองซองนัม สองพี่น้อง บยองอู และ บยองกี ผู้มีหน้าที่เดินทางมารับแรงงานเหล่านี้ต้องตกตะลึง เมื่อพวกเขาพบว่า ในตู้คอนเทนเนอร์นั้นเต็มไปด้วยศพผู้เสียชีวิตที่ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยเลือด ทว่ายังเหลือผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งคนคลานออกมาจากซากเหล่านั้น โดยที่ทั้งสองพี่น้องไม่รู้เลยว่า ชายคนนี้คือพาหะนำโรคไข้หวัดมฤตยูที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ตามปกติแล้วโรคไข้หวัดนั้น ความรุนแรงของโรคจะแสดงอาการในช่วง 2-3 วัน แต่ดูเหมือนไข้หวัดมรณะในหนังเรื่องนี้จะสร้างความรุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจได้มากกว่าที่โลกนี้เคยเผชิญมา มิหนำซ้ำอาจจะรุนแรงกว่าโคโรน่าไวรัสด้วยซ้ำไป เพราะผู้ติดเชื้อมีโอกาสจะเสียชีวิตภายในเวลาอันสั้นไม่เกิน 3 วันแถมยังทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวจนผู้ป่วยอาเจียนออกมาเป็นเลือดกันเลยทีเดียว
เมื่อเป็นโรคที่แพร่ผ่านทางระบบทางเดินหายใจ ทันทีที่มีคนไอ จาม หนังเรื่องนี้ได้จำลองภาพฝอยละอองที่ปลิวเข้าสู่ตา จมูก และปาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงการติดต่อของโรคจากคนสู่คนอย่างรวดเร็ว ในพริบตาโรคไข้หวัดมรณะนี้ได้ระบาดไปสู่สังคมจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ทันทีที่ผู้ป่วยแสดงอาการรุนแรงจนถูกเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ระบบสาธารณสุขของเมืองเกิดการล้มเหลวภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ทันทีที่วิกฤตนี้กลายเป็นปัญหาระดับประเทศ แน่นอนมันย่อมส่งผลต่อนักการเมืองท้องถิ่น คณะรัฐมนตรี และประธานาธิบดีในการจัดการแก้ไขกับปัญหา คำสั่งล็อคดาวน์เมืองจึงถูกประกาศใช้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง รวมไปถึงอพยพบรรดา “คนใหญ่คนโต” ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หมอ นักการเมือง ออกนอกพื้นที่เสี่ยงไปอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้คือ “สิทธิพิเศษ” ที่ทำให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าคนอื่นๆ
หนังเดินเรื่องน่าสนใจ แต่ก็ค่อนข้างยาว เพราะพาดพิงไปเล่นหลายประเด็นในตลอด 2 ชั่วโมง ซึ่งแม้ตัวละครพระเอก นางเอก จะดูน่าเอาใจช่วยขนาดไหน แต่พอเราเห็นข่าว COVID-19 จริง ๆ เราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าสองตัวละครนี้เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ที่ก็มีความเห็นแก่ตัวในแบบของตัวเองเช่นกัน (ถ้า COVID-19 ยังไม่เกิดขึ้น เราอาจจะเอาใจช่วยสองคนนี้มากกว่านี้)
ถึงแม้ว่าหนังจะนำเสนอชีวิตของพระเอกอย่าง คังจีกู (จางฮยอก) ในฐานะหน่วยกู้ภัยสุดหล่อ ทรงเสน่ห์ ผู้ตกหลุมรักคุณหมอ คิมอินแฮ (ซูเอ) หลังจากที่เธอเคยขับรถตกหลุมก่อสร้างจนเกือบจะตายเป็นผีเฝ้าฐานรากถนนถ้าหากไม่ได้ คังจีกูมาช่วยทันเวลา แน่นอนว่าหลังจากที่โรคระบาดได้แพร่กระจายไป สองตัวละครนี้กลับโคจรมาเจอกันด้วยความสมพงศ์กันของโชคชะตาล้วนๆ (หรือจริงๆเพราะบทภาพยนตร์จะเขียนให้เป็นเช่นนั้นก็ตามที) ผู้ชมจะได้เห็นว่า วิธีการตัดสินใจของคุณหมอคิมในฐานะ “แม่” ที่กำลังพยายามปกปิดความจริงที่ว่าลูกสาวของตัวเองได้ติดเชื้อไข้หวัดมรณะ จนเกือบจะทำให้โรคนี้เกิดการแพร่กระจายในแคมป์กักกันผู้ป่วยด้วยก็ตาม
ถึงจรรยาบรรณแพทย์จะค้ำคอคุณหมอคิมแค่ไหน แต่ด้วยบรรทัดฐานของคนเป็นแม่ เธอจึงยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกสาวของตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะผิดแค่ไหนก็ตาม และพฤติกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตัวคังจีกูเองก็ยินยอมพร้อมใจที่จะช่วยหญิงสาวที่เขาแอบชอบละเมิดกฎของทางการตั้งไว้ ใจหนึ่งก็เพราะเขาอาจจะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่า บางทีอีกไม่นานหมอคิมอาจจะเป็นผู้คนพบวัคซีนในการรักษาโรคนี้ก็เป็นได้ (ซึ่งแน่นอนว่า เพื่อกระชับเรื่องราวทั้งหมดให้คลี่คลายภายในเวลา 2 ชั่วโมง กระบวนการติดเชื้อ ระบาด รักษาโรค จะถูกทำให้จบลงในเวลาที่กำหนดนั่นแหละ)
คิมอินเฮ (รับบทโดย ซูแอ) แพทย์หญิงผู้เป็นซิงเกิลมัม ประสบอุบัติเหตุรถตกลงไปในหลุมใต้ดิน และได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย คังจีกู (รับบทโดย จางฮยอก) หลังจากนั้นเขาก็มาทราบว่า คิมอินเฮ มีลูกสาวน่ารักคนหนึ่งชื่อ คิมมิเร เหตุเกิดขึ้นเมื่อ คิมอินเฮ ได้รับทราบว่าเกิดมีเชื้อไวรัสปริศนาระบาดในย่านบุนดัง กรุงโซล เธอจึงต้องรีบเดินทางไปดูผู้เสียชีวิต และค้นหาผู้รอดชีวิตจากตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเร่งค้นหาทางสกัดยาต้านเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้
เหตุการณ์บานปลายถึงขนาดที่องค์กรจากนานาชาติต้องเข้ามาควบคุมเพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายไปจากย่านบุนดัง กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และยังเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสนี้แพร่กระจายไปยังทั่วโลกอีกด้วย
ดังนั้นย่านบุนดัง จึงต้องแปรสภาพกลายเป็นค่ายกักกันโรค และมีมาตรการอย่างเข้มงวดเพื่อกักบริเวณประชาชนในย่านดังกล่าว ไม่ให้มีผู้ใดที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสดังกล่าวออกจากพื้นที่นี้ไปได้
ส่วนที่ดีในหนังเรื่องนี้คือ หนังเดินเรื่องพาไปพบเจอจุดที่น่าสนใจ และสะเทือนใจได้เรื่อย ๆ ว่ามนุษย์เราโหดร้ายกันได้ขนาดนี้เลยหรือ ซึ่งความโหดร้ายที่ว่าดูสมจริงสมจังมาก แต่หนังก็มีจุดที่อาจจะไม่สมจริงคือ มีบางตัวละครขับเคลื่อนประเด็นในเรื่องได้น่ารำคาญอยู่เหมือนกัน คือดูมีความเป็นตัวร้ายมาก ๆ จนเรารู้สึกไร้เหตุผล …หรือถ้าจะบอกว่าตัวละครนี้มีเหตุมีผลที่เข้าใจได้ ช่วงสุดท้ายของเรื่อง หนังก็อาจจะไม่จบแบบนั้น เพราะมันควรจะมีคนแบบนี้มากกว่านี้รึเปล่า
อีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจในหนังเรื่อง FLU คือการเผยให้เห็นการทำงานที่เกี่ยวโยงกันระหว่างอาจารย์หมอ กระทรวงสาธารณสุข นักการเมืองท้องถิ่น รัฐมนตรี และประธานาธิบดีที่ล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจชี้เป็นชี้ตายของประชาชนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการอพยพ ตั้งค่ายกักกันผู้ป่วย ปิดเมือง ตั้งป้อมทหารในการกีดกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเล็ดลอดออกจากเมือง ซึ่งภายในห้วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่นาที หนังก็เผยให้เห็นว่า “การมีผู้นำที่เด็ดขาดและมีปัญญา” สามารถคลี่คลายปัญหาบางอย่างไม่ให้บานปลายเลยเถิดได้เช่นกัน
หนังมีซีนแพร่เชื้อใส่กันด้วยการไอจามและซีนการติดเชื้อจนคนไข้ล้นวอร์ดโรงพยาบาลที่ดูแล้วสยองกว่าโควิดหลายเท่า ไม่น่าเชื่อว่าหนังเรื่องออกฉายช่วงปี2556 หรือ 2013 แต่อีก7-8นับจากนั้นกลายเป็นว่า เราต้องอยู่ในสังคมใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ในขณะที่หนังก็ทำให้เราขบคิดได้หลายอย่างโดยเฉพาะประเด็นที่ เมื่อวิกฤติเกิดขึ้น เราควรรักษาชีวิตตัวเองและคนรอบข้างซึ่งบางครั้งอาจเป็นการแหกกฏที่รัฐตั้งไว้เพื่อคัดกรองควบคุมโรค หรือเราควรทำตามกฎเพื่อส่วนรวมโดยไม่มีเงื่อนไข
การนำเสนอเรื่องราวลักษณะตรงไปตรงมา ไม่มีการย้อนหรือตัดทอนเรื่องตามสถานการณ์ ผู้ชมไม่ต้องคิดอะไรมาก สนุกตื่นเต้นได้ลุ้นกันตลอด และแม้หนังจะไหลลื่น แต่บทบาทของตัวละครที่ทำให้เรื่องดูยืดเยื้อ กลายเป็นความตลกร้ายในภายหลัง สำหรับพล็อตเรื่องที่ดูคล้ายกับสถานการณ์ “โควิด-19” มีตั้งแต่การติดเชื้อไวรัสด้วยการสัมผัส การแพร่เชื้อกระจายไปอย่างรวดเร็ว การสอบสวนโรคจนนำไปสู้การหาวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ผลเสียจากการทำงานของภาครัฐที่ไม่สอดคล้องหรืออยู่ในทิศทางเดียวกัน นักการเมืองที่เห็นแก่ตัวห่วงแต่หน้าตาตัวเอง จนไม่มีการแจ้งเตือน ทำให้สถานการณ์บานปลาย ยากเกินกว่าจะควบคุมไว้ได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะดำเนินเรื่องด้วยการบีบคั้นอารมณ์ เล่นกับจิตใจผู้ชมจนทำเอากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้วนั้น ยังเล่าถึงการรับมือของภาครัฐ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่เกิดท่ามกลางสถานการณ์อันคับขัน ถ้าหากใครที่เคยดูภาพยนตร์ดังอย่าง Train To Busan แล้วถูกใจ น่าจะชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน ยิ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2020 จากกรณีไวรัสโคโรน่าที่กำลังระบาดอยู่นั้น ทำให้หลายคนกลับมาสนใจและชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเข้าถึงอารมณ์มากยิ่งขึ้น ใครที่ยังไม่ได้ดูอย่าลืมไปตามเก็บ The Flu กันนะ เป็นหนังเกาหลีคุณภาพดีที่คุณจะต้องยกขึ้นหิ้งอย่างแน่นอน
ทั้งหมดทั้งมวล FLU คือการจำลองภาพสถานการณ์ไวรัสระบาด โดยเชื่อมโยงบุคคลอันเป็นตัวแทนของผู้คนในสังคมหลากหลายภาคส่วน และสะท้อนภาพว่าเมื่อเกิดวิกฤตขึ้นประชาชนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม ต่างก็ต้องดิ้นเราเอาชีวิตรอดอย่างกระเสือกกระสนแตกต่างจากผู้มีอำนาจที่มักจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้อยู่เสมอ
เป็นหนังเกี่ยวกับโรคระบาดที่น่าสนใจ ตีแผ่หลาย ๆ ปัญหาที่น่าจะเกิดในสังคมเกาหลี และก็แอบสะท้อนกับปัญหาในประเทศเราบางอย่างเหมือนกัน ใครเป็นคอหนังสายภัยพิบัติ การเอาชีวิตรอด ลุ้นระทึก เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์พอสมควรเลย
ทุกชีวิตล้วนมีค่า เมื่อประชาชนทุกคนให้ความร่วมมือกับรัฐ เพื่อจัดการโรคระบาดอย่างพร้อมเพรียงแล้ว ทางภาครัฐก็ต้องใส่ใจและรักษาชีวิตของประชาชนทุกชีวิตไว้ให้ได้ อย่าปล่อยให้เหมือนเช่นหนังเรื่องนี้ ที่พยายามปกปิดข้อมูล ทั้งยังปล่อยให้มีบุคคลที่เห็นแก่ตัว มีอำนาจด้านการปกครองจนนำมาสู่ความหายนะ จงอย่าลืมว่า “ทุกคนกำลังทำสงครามกับโรคร้าย มิใช่ทำสงครามกับมนุษย์ด้วยกันเอง”