Home |
britney vs spears netflix
ชื่อของสารคดี Britney vs Spears เป็นการตั้งชื่อที่คมคายและบอกเราอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสารคดีเรื่องนี้จะพาเราไปพบกับเรื่องราวในชีวิตนักร้องสาว บริตนีย์ สเปียร์ส ที่ดำเนินชีวิตท่ามกลางความทุกข์ทรมานจากการถูกริดรอนอิสรภาพจากพ่อแท้ ๆ ของเธอที่ร้องขอต่อศาลเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ตามคำสั่งของศาล รีวิวหนังออนไลน์ (Conservatorship) ทำให้เขามีสิทธิ์ดำเนินการทุกอย่างแทนบริตนีย์ได้อย่าง ‘ถูกต้องตามกฏหมาย’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การเงิน สุขภาพของตัวเธอเอง และการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น แม้กระทั่งการจะได้เจอหรือไม่เจอลูกของตัวเองเธอก็ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ซึ่งการถูกลิดรอน ‘อิสรภาพ’ นี้ก็เสมือนกับบริตนีย์นั้นได้ ‘ตาย’ โดยนิตินัยไปแล้ว
สารคดีเปิดมาด้วยภาพคอนเสิร์ตของบริตนีย์เมื่อครั้งที่เธอกำลังแจ้งเกิดในวงการและกลายเป็นปรากฏการณ์แห่งวงการดนตรีป๊อป เราเห็นรอยยิ้มของนักร้องสาว ‘รอยยิ้ม’ ที่สดใสและเปี่ยมสุข ยิ้มราวกับว่าจะไม่ได้ยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว เป็นการเปิดเรื่องที่ทรงพลังและพาให้ผู้ชมลุ้นไปกับเรื่องราวเฉกเช่นเดียวกับที่เราลุ้นไปกับคดีนี้เพื่อที่จะได้เห็นเธอกลับมายิ้มอย่างมีความสุขอีกครั้ง
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เป็นเหมือนการสรุปความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวทั้งหมดที่รวบรวมมาไว้ในเวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง โดยผู้กำกับภาพยนตร์ เอริน ลี คาร์ (Erin Lee Carr) และ เจนนี่ เอลิสคิว (Jenny Eliscu) นักเขียนจากนิตยสารโรลลิงสโตน ได้เป็นแกนหลักของเรื่องในการพาผู้ชมไปสัมผัสกับชีวิตของบริตนีย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ในชีวิตของเธอ อันเริ่มต้นที่บทเพลง “… Baby One More Time” (1998) ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญและเป็นความทรงจำอันงดงามของวัยรุ่นยุค 90s
สารคดีได้ฉายภาพของการเป็นศิลปิน การรับมือกับความโด่งดังและภาพลักษณ์ของความเป็นศิลปิน รวมไปถึงเรื่องของอำนาจและการควบคุมที่เกิดจากการสมรู้ร่วมคิดอันน่าหวาดกลัว ลี คาร์ ผู้กับสารคดีเรื่องนี้ใช้วิธีเล่าเรื่องด้วยการคลี่รายละเอียดต่าง ๆ ออกมาทีละนิดไล่เรียงเรื่องราวตามลำดับเวลา ตั้งแต่บริตนีย์มีอายุ 8 ขวบ จนโด่งดังในวัย 16 จนมาถึงช่วงวิกฤตในชีวิตและการถูกจองจำด้วยกฎหมายตลอดระยะเวลา 13 ปี ผ่านโทนของเรื่องที่ดูหม่นเศร้าและลึกลับ ราวกับเรากำลังชมภาพยนตร์ระทึกขวัญซ่อนเงื่อนที่ซ่อนปมปริศนาอันน่าสะพรึงเอาไว้ ดูหนัง
ถึงแม้เรื่องราวในสารคดีเรื่องนี้จะไม่ได้ถูกเล่าออกมาผ่านถ้อยคำของบริตนีย์ แต่ผู้คนในชีวิตของบริตนีย์ได้ถูกนำมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่บริตนีย์เผชิญมาโดยตลอดและความรู้สึกที่เธอต้องแบกรับมันเอาไว้ รวมไปถึงภาพฟุตเทจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพจากคลิปเหตุการณ์ ภาพถ่าย หรือภาพจากปาปารัสซี ก็ถูกนำมาใช้เป็นชิ้นจิ๊กซอว์ที่ถักทอเรื่องราวออกมาได้เป็นอย่างดี
เหล่าบรรดาตัวละครเหล่านั้นบางคนก็เพียงถูกอ้างถึง เช่น เควิน เฟเดอร์ไลน์ แดนเซอร์หนุ่มอดีตสามีของบริตนีย์ ที่ทั้งคู่ได้มีลูกด้วยกัน 2 คน และหย่าร้างกันใน 2 ปีหลังจากที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และนั่นเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาวุ่นวายในชีวิตของบริตนีย์ที่ตามมาหลังจากนั้น โลกอันสวยงามของการเป็นซูปเปอร์สตาร์กำลังกลับขั้วกลายเป็นฝันร้ายอันไร้ที่สิ้นสุด
ในช่วงหนึ่งของสารคดี ลี คาร์ ได้พูดคุยกับเอลิสคิว ว่าสิ่งที่เจมีพ่อของบริตนีย์ทำนั้นมันเหมือนกับจับเธอมาอยู่ภายใต้ ‘ระบอบปิตาธิปไตย’ อันเป็นระบอบที่พ่อเป็นใหญ่ ผู้ชายเป็นใหญ่และมีอำนาจสูงสุด เมื่อมองดูโครงสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของบริตนีย์ก็เป็นสิ่งที่ชวนคิดว่าเรื่องราวของบริตนีย์นั้นเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่แวดล้อมไปด้วยอำนาจและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเจมีที่ใช้อำนาจทางกฏหมายในการกดขี่และริดรอนความเป็นมนุษย์ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นลูกแท้ ๆ ของตัวเอง รวมไปถึง ‘เครือข่าย’ ของบุคคลที่เจมีใช้ในการปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่เขาจัดหามาให้บริตนีย์ บรรดาทนายทั้งหลายที่ทำให้เรื่องร้ายกาจแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ หรือแม้แต่หมอผู้วินิจฉัยว่าเธอเป็น ‘ผู้ป่วยความจำเสื่อม’ และเป็นคนที่ถูกนำมาสัมภาษณ์ในสารคดีเพื่อถามหาความจริงว่าเหตุใดเขาจึงวินิจฉัยเธอเช่นนั้น ก็ทำหน้าซื่อตีมึนต่อหน้ากล้องและไม่ยอมจำนนต่อหลักฐานที่ผู้สร้างสารคดีนำมันมาโชว์ต่อหน้าของเขา ดูหนังออนไลน์
ส่วนในฝั่งของคนที่ ‘แคร์’ ในความรู้สึกของบริตนีย์ เราก็ได้รู้จักกับตัวละครสำคัญอย่าง ‘อัดนัน กาลิบ’ ปาปารัสซีหนุ่มที่สร้างความประทับใจให้กับบริตนีย์ที่กำลังประสบปัญหากับการเติมน้ำมันอยู่ โดยที่ปาปารัสซีมากมายกำลังรายล้อมถ่ายภาพของเธอโดยไม่เคยคิดจะช่วยเหลือเธอเลย ยกเว้นแต่อัดนันคนนี้ที่ได้เข้าไปถามไถ่และให้การช่วยเหลือเธอ จนทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ และความสัมพันธ์อันเรียบง่ายบนความแตกต่างนี้ก็ได้ผลิบานขึ้นมา
อย่างที่เราพอได้รู้จากข่าวว่า ‘ลินน์ สเปียร์ส’ แม่แท้ ๆ ของบริตนีย์เป็นคนหนึ่งที่ต่อสู้กับเรื่องนี้และให้การสนับสนุนบริตนีย์พร้อมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ลูกสาวของเธอได้รับอนุญาตในการหาทนายคนใหม่ด้วยตัวเอง เรารู้ว่าแม่คนนี้มีความรักและห่วงใยลูกสาวของเธอมากแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการสนับสนุนและต่อสู้ทางกฏหมาย การขาดหายไปของลินน์ สเปียร์สในสารคดีเรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำภาพของอำนาจปิตาธิปไตยที่รายล้อมรอบตัวบริตนีย์และมันได้ถูกตอกย้ำผ่านหนังเรื่องนี้ ด้วยการที่เธอนั้นเป็น ‘สิ่งที่มีอยู่แต่ถูกทำให้หายไป’ (The present absence) ถูกพูดถึงเพียงผ่าน ๆ และผู้ชมเห็นเธอแต่เพียงรูปถ่าย ไร้ตัวตน ไร้การถูกมองเห็น และไร้ซึ่งสุ้มเสียง แม้แต่ ‘เจมี ลินน์ สเปียร์ส’ น้องสาวของบริตนีย์ก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในสารคดีเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน พลังแห่งหญิงเพียงแหล่งเดียว (นอกเหนือจากบริตนีย์) ที่ปรากฏในสารคดีเรื่องนี้ก็คือตัวผู้สร้างเองทั้งลี คาร์และเอลิสคิวที่เป็นเสมือนโฮล์มส์กับวัตสันที่พาเราไปหาความกระจ่างในเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของบริตนีย์ด้วย ดูหนัง 4k
โดยสารคดี Britney vs Spears เป็นผลงานการกำกับของ อีริน ลี คาร์ โดยก่อนหน้านี้เธอเคยกำกับ At the Heart of Gold: Inside the USA Gymnastics Scandal สารคดีตีแผ่วงการยิมนาสติกหญิงทีมชาติอเมริกาที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศระหว่างที่ฝึกฝน เทรนนิ่งก่อนลงแข่งจนกลายเป็นข่าวฉาวและมีการขึ้นโรงขึ้นศาล หรือสารคดี I Love You, Now Die: The Commonwealth v. Michelle Carter ที่บอกเล่าเรื่องราวของมิเชลล์ คาร์เตอร์อาชญากรสาวที่สามารถหลอกล่อหนุ่มๆให้ฆ่าตัวตาย ด้วยการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือให้พวกเขาเหล่านั้นตัดสินใจปลิดชีพตัวเองซะ! ยิ่งทำให้เห็นว่าถือคือตัวเลือกที่เหมาะสมในการจะนำเสนอคดีขึ้นโรงขึ้นศาลผ่านสารคดีให้มีความน่าสนใจและเร้าอารมณ์
แม้ว่าในช่วงเวลาที่สารคดี Britney vs Spears ปล่อยออกมาจะมีช่วงเวลา 1 วันก่อนที่การพิจารณาคดีว่าบริทนีย์ จะเป็นอิสระจากการถูกควบคุมหรือไม่ ซึ่งล่าสุดในวันที่ 30 กันยายน หลังจากมีการพิจารณาคดีและผลออกมาแล้วว่าเจมี่ สเปียร์ พ่อของบริทนีย์ต้องยุติบทบาทการดำรงบทบาทการเป็นผู้พิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินเป็นที่เรียบร้อย
ถึงแม้ว่าเรื่องราวทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงจะดูคลี่คลาย และแฟนคลับทั่วโลกพอใจ แต่การชมสารคดีชุดนี้ คือการขุดลงถึงเหตุและผลว่าทำไมคนที่เป็น “พ่อ” ผู้ควรจะมีหน้าที่ในการดูแลลูกและมอบความรัก ความเข้าใจ ถึงผันตัวเองให้กลายเป็นตัวร้ายให้หนังดราม่าระทึกขวัญ ที่ยิ่งสารคดีเริ่มเล่ามากขึ้นแค่ไหน ยิ่งค่อยๆเผยให้เราเห็นว่า การยึดเอาชีวิตของลูกสาวไปนั้น มีการทำเป็นขบวนการไม่ว่าจะเป็นเอเจนซี่ บริษัทบอดี้การ์ดในการรักษาความปลอดภัย รวมไปถึงการว่างจ้างทนายในการร่างสัญญาต่างๆ เพื่อพรากอิสรภาพของบริทนีย์ สเปียร์ไป ดูหนังออนไลน์ 4k
ที่น่าสนใจมากๆคือ การที่บริทนีย์เคยถูกศาลสั่งว่าเธอเป็นผู้ไร้อำนาจในการตัดสินใจ และมีปัญหาเกี่ยวกับสมองรวมไปถึงสุขภาพจิต แต่ระหว่างทางที่กฎหมายนี้เริ่มใช้ กลับเป็นช่วงเวลาที่บริทนีย์กลับมาทำงานเพลง ออกอัลบั้ม รวมไปถึงทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก อย่างสุดความสามารถ โดยที่ในช่วงเวลาปี 2008-2019 แทบไม่เคยมีใครรู้เลยด้วยซ้ำไปว่า ป๊อปสตาร์คนนี้กำลังทุกข์ทรมานราวกับติดคุก และต้องฝืนแสร้งยิ้มมาตลอดเป็นเวลากว่าสิบปี
สารคดี Britney vs Spears จึงเป็นการตีแผ่ความล้มเหลวของ Conservatorship ในอเมริกา โดยมีบริทนีย์ สเปียร์ เป็นตัวละครสำคัญที่กลายเป็นกรณีศึกษาที่จะสั่นสะเทือนวงการศาลไปตลอดกาล
Britney & Spears ได้ทำให้เราเห็นถึงช่องโหว่ของกฏหมายและความน่าสะพรึงกลัวของการใช้กฏหมายในการทำให้คนคนหนึ่งสูญเสียอิสรภาพในการดูแลและตัดสินใจเพื่อชีวิตตัวเองซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซึ่งตอนจบของสารคดีเรื่องนี้จะไปจบลงตรงไหนคงไม่สำคัญสำหรับเราแล้ว เพราะเราได้รู้ ‘ตอนจบที่แท้จริง’ จากข่าวที่เกิดเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ อันเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความหวังและมั่นใจได้บ้างว่า นับจากนี้ไปเราคงจะได้เห็น บริตนีย์ สเปียร์ส ยิ้มอย่างมีความสุขแบบที่เราเห็นในฉากแรกของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้อีกครั้ง
สิ่งที่เราประทับใจในสารคดีเรื่องนี้คือ การเล่าด้วยน้ำเสียงที่พยายามบอกว่าบริทนีย์ก็คือคนธรรมดานะ ซึ่งเชื่อว่าคนดูก็น่าจะสัมผัสได้ เมื่อเรามองย้อนกลับไป เธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ “เธอไม่เคยมีคนที่เธอไว้ใจได้เลย แม่ก็ไม่ได้ พ่อก็ไม่ได้ เพื่อนก็ไม่ได้ น้องสาวก็ไม่ได้ ไม่มีใครเลย ซึ่งมันเป็นจุดดำมืดที่น่ากลัวมาก” และเหนือสิ่งอื่นใด อยากให้ทุกคนมองใน “In human ways” ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไม่ควรมีใครโดนกระทำแบบนี้ ไม่ใช่แค่กับครอบครัวตัวเอง แต่ทุกคนมีสิทธิ์ในตัวเอง เราเองหลังจากดูก็ได้กำลังใจมาเยอะมาก “I’m GREAT at what I do” ชอบการที่บริทนีย์มีกำลังใจให้ตัวเอง มั่นใจ และเชื่อมั่นว่าเธอทำได้เธอไม่ใช่แค่เก่ง แต่เธอยอดเยี่ยมที่สุด สุดยอดไปเลย
และตอนนี้บริทนีย์ก็หลุดจากการถูกพิทักษ์อย่างถาวรแล้ว ยินดีกับบริทนีย์ด้วยจริงๆ รอวันที่จะได้เห็นการแสดงและผลงานของบริทนีย์แบบจริงจัง และให้เธอมีความสุขได้จริงๆได้เป็นตัวของตัวเองแบบจริงจังเอาเป็นว่า สารคดีมหากาพย์ชีวิต Britney vs Spears กับการทวงคืนอิสรภาพ 13 ปี ก็สารคดีที่ดีทั้งในเนื้อหาและในการนำเสนอ ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ใครที่อยากรู้จักและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่างเธอ ไม่ควรพลาด มีฉายแล้วบน Netflix