รีวิว Asakusa Kid
หนังเรื่อง Asakusa Kid ผลงานนี้เป็นภาพยนตร์ ที่สร้างจากบันทึกความทรงจำของตัวละครที่ชื่อว่า คิตาโนะ โดย คิตาโนะ ทาเคชิ หรือ “บีท ทาเคชิ” เป็นดาวตลกที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์หลายด้านรวมถึงเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ใครๆ ในญี่ปุ่นต่างก็รู้จักดี โดยเป็นเรื่องราวก่อนเข้าสู่วงการของเขา ในฐานะลูกศิษย์ของดาวตลกชื่อดังจากย่านอาซากุสะ แต่ไม่ใช่เรื่องราวชีวประวัติทั้งหมดของเขา เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของความทรงจำร่วมกับอาจารย์คนนี้เท่านั้น รับชมเรื่องราวสุดประทับใจนี้ได้ที่ ดูหนัง
เรื่องนี้ดำเนินเรื่องในช่วงกลางของปี 60 ในเมืองอาซากุสะซึ่งเป็นย่านที่ค่อนข้างล้าหลังและไม่ค่อยน่าอยู่ของโตเกียว หลังจากที่ลาออกจากมหาวิทยาลัย คิตาโนะคุง ก็เดินทางไปทำตามฝันการเป็นตลก เขาได้งานที่ฟรานซ่า ซึ่งเป็นโรงละครเปลื้องผ้าและโชว์ตลกในอาซากุสะ จากนั้นไม่นานเขาก็ได้สั่งสมประสบการณ์จากดาวตลกในตำนานอย่างฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพ่อหนุ่ม คิตาโนะคุง คนนี้นั่นเอง
ผู้บอกให้ลูกศิษย์ของเขาหัดเอาพล๊อตความคิดของนักแสดงตลกเวลาอยู่บนเวทีไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย คุณฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ คือ ตลกระดับปรมาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงหลายคนในประเทศญี่ปุ่น คิตาโนะตั้งใจทำงานอย่างหนักหน่วงภายใต้การดูแลของฟุคามิเพื่อฝึกฝนฝีมือ และบรรลุความฝันที่จะได้เป็นนักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ อย่างไรก็ตาม เมื่อการรับชมโทรทัศน์เป็นที่นิยมมากขึ้น การแสดงตลกแบบเดิมๆในโรงละครจึงไม่ได้รับความนิยมจนสามารถเลี้ยงชีพได้ เขาจึงต้องเจำใจเลือกเส้นทางใหม่แยกทางจากอาจารย์ของตัวเอง เพื่อดำเนินการเปิดตำนานบทใหม่ของวงการตลกญี่ปุ่นยุคสมัยใหม่
ตัวหนังถึงแม้ผู้ชมจะไม่รู้จัก คิตาโนะ ทาเคชิ หรือ “บีท ทาเคชิ” เลยก็ยังสามารถรับชมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เพราะที่จริงเรื่องราวค่อนข้างจะเอนเอียงให้ความสนใจกับทางชีวิตของอาจารย์ของเขา ฟุคามิ เซ็นซาบุโร่ มากกว่า ซึ่งตัวเรื่องเขียนจากความทรงจำที่เขาได้ไปทำความรู้จักใกล้ชินสนิทสนมกับอาจารย์ในฐานะเด็กกดลิฟต์ ก่อนจะพยายามฝึกฝนจนอาจารย์ยอมรับ ซึ่งก็เหมือนอาจารย์มองเขาในวัยหนุ่มขาดว่าคนนี้จะกลายเป็นตลกชื่อดังในอนาคต ซึ่งการที่อาจารย์มองขาดก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีอะไรร่วมกันมากกว่าแค่ศิษย์กับอาจารย์ ในหนังแทบจะทำให้เราคิดว่าอาจารย์มองเขาเป็นเด็กน้อยหรือลูกคนหนึ่งที่ต้องพยายามช่วยอุ้มชูให้มากที่สุด
อย่างจ่ายค่าเช่าห้องให้เขาไม่ต้องนอนในห้องแต่งตัวของโรงละคร หรือการยอมทนขาดทุนกับโรงละครแห่งนี้เพื่อให้ทาเคชิมีงานทำ ซึ่งนักแสดงอย่าง โย โออิซุมิ ผู้รับบทนี้ก็แสดงได้กินใจมาก สอดรับกับ ยูยะ ยากิระ ที่แสดงเป็นทาเคชิได้อย่างลงตัวเป็นธรรมชาติเหมือนตัวจริงมาก แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะมีจุดที่ต้องแยกจากกัน แต่หนังก็ยังโฟกัสตัวอาจารย์ต่อไป แสดงให้เห็นว่าแม้ศิษย์แยกทางไปแล้ว แต่อาจารย์ก็ไม่เคยลืมลูกศิษย์คนนี้เลย ซึ่งดราม่าความสัมพันธ์นี้ทำได้ถึง และมีช่วงที่ลึกซึ้งกินใจมากพอดูเหมือนกัน ใครที่อ่อนไหวมากก็อาจจะน้ำตานองเป็นสายน้ำกันได้เลยนะครับ
แต่หนังก็ไม่ได้มีแต่ดราม่าเป็นจุดขายหลัก หนังยังจับจุดเอาเรื่องตลกตั้งแต่การแสดงในโรงละครของทั้งคู่ จนมาถึงการแยกทางออกไปเล่นมันไซ (ตลกแบบคู่ไมโครโฟน) ซึ่งทำให้เราเห็นการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของวงการตลกในญี่ปุ่น ซึ่งก็น่าจะคล้ายคลึงกันทั่วโลก ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้ก็นำเสนอมุกตลกในแต่ละยุคพร้อมกันไปด้วย อย่างอาจารย์ของทาเคชิที่ไม่เอาการเล่นตลกจากการทำหน้าตาให้ตลก คนดูต้องเคารพแล้วหัวเราะตลกจากมุกที่ยิงออกไป
ซึ่งจะสังเกตว่าในช่วงแรกๆพระเอกของเราก็ยิงมุกแป๊กไม่ผ่าน ไม่ขำเลยสักนิด จนมาตอนหลังยอมก้าวข้ามเส้นตลกไปถึงเรื่องสีผิวการเหยียดแบบขำๆ ก็ทำให้เริ่มโด่งดังมีชื่อเสียง แต่ก็ไปเจอโลกของตลกในวงการทีวีที่ห้ามเล่นมุกตลกเหยียดสีผิวหรือเรื่องที่ละเอียดอ่อนจนแทบที่จะทำอะไรต่อไม่ถูกเลย แต่เนื้อหาทั้งหมดของช่วงเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปในแบบตึงเครียดเลยสักนิด แต่กลับเต็มไปด้วยฉากยิงมุกตลกที่คนดูต้องหลุดขำตามได้จริงๆ จนกลายเป็นช่วงเส้นคาบเกี่ยวที่ตัดกันกับระหว่างดราม่าความสัมพันธ์เศร้าของทั้งๆ คู่แบบดังที่บอกไว้ข้างต้นครับ
หนังยังมีการนำพล็อตเรื่องราวความรักของทาเคชิกับนักแสดงเปลื้องผ้าในโรงละครมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มก่อร้างสร้างมาจากเธอเห็นเขาเป็นแค่เด็กกดลิฟต์ที่แอบเห็นเธอร้องเพลงในยามที่โรงละครปิด ซึ่งตรงนี้เป็นความฝันและความลับของเธอก่อนมาทำอาชีพนี้
การที่เธอได้แรงฝันจากทาเคชิที่พยายามเป็นตลกให้ได้ แล้วก็ยังแบ่งเวลามาสนับสนุนผลักดันความฝันการเป็นนักร้องให้เธอในโรงละครเปลื้องผ้านี้ด้วย ทำให้ก่อเกิดเป็นความประทับใจแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่มีความเข้าอกเข้าใจในกันและกัน แต่ก็ยังไม่ได้ข้ามเส้นเป็นแฟนกันสักที ซึ่งในหนังเราก็จะได้เห็นบทสรุปของความรักที่สวยงานครั้งแรกในชีวิตของทาเคชิด้วย
แต่ด้วยความที่หนังเลือกโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์กับอาจารย์ของเขาเป็นเมนเรื่องหลัก การที่หนังพยายามใส่ซัพพล็อตความรัก หรือเรื่องคู่หูเล่นตลกมันไซกับบทอื่นอย่าง นักเขียนบทให้ทาเคชิสมัยอยู่โรงละคร พวกนี้แม้มีบทในทำนองคนร่วมฝันกับตัวเอกแต่กลับไม่ได้รับการสานต่อให้คนดูรู้ว่าเขาตามฝันสำเร็จเหมือนทาเคชิหรือไม่ บทของตัวละครเหล่านี้ถูกสคิปข้ามหรือตัดหายไปเลยอย่างน่าเสียดายมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าเวลาของหนังยาวมากแล้วถึง 2 ชั่วโมงเต็ม คงไม่สามารถใส่รายละเอียดเพิ่มลงไปได้อีกไม่งั้นจะดูยืดยาวน่าเบื่อเกินไป และก็ไม่ใช่เรื่องทาเคชิโดยตรงอย่างที่หน้าหนังวางไว้ด้วย ดูหนังออนไลน์
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้ทาเคชิตัวจริงก็ยังมาร่วมเล่นด้วย โดยเปิดฉากเปิดในปัจจุบันที่เขาอายุมากแล้วหวนคิดกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าวงการ ก่อนตัดกลับมาอีกทีเอาตอนจบปิดท้ายเลยเป็นการกลับไปเยี่ยมโรงละครฟรานซ่าในปัจจุบัน แล้วก็ฉายภาพอดีตเหตุการณ์เก่าๆ กลับมาระหว่างที่เขาเดินเข้าไป ซึ่งตรงนี้บางจุดก็ช่วยตอบข้อสงสัยบางอย่างที่หนังในตอนแรกไม่ได้เล่าให้หมดด้วย นับว่าเป็นตอนจบที่ทำได้อย่างน่าประทับใจจริงๆ
ดราม่าชีวประวัติจากญี่ปุ่นที่เน็ตฟลิกซ์สร้างออกมาได้อย่างดีงามมาก ด้วยเรื่องราวตลกปนเศร้าที่บาลานซ์ทั้งสองอย่างได้ดีตลอดเรื่อง การันตีเลยว่าผู้ชมต้องขำกับมุกตลกญีปุ่นโบราณๆ ในเรื่องได้แน่นอน แถมตามด้วยอาการน้ำตาซึมจากความประทับใจที่เรื่องนี้มอบให้ไปพร้อมกันอีกด้วย
จุดที่ทำได้ดีจนน่าประทับใจของเรื่องนี้คือ การสะท้อนบรรยากาศย่าน Asakusa ในยุค 1960 ซึ่งเป็นสถานที่เริ่มต้นชีวิตในการเดินสายงานด้านตลกของพ่อหนุ่ม คิตาโนะ หนังสร้างบรรยากาศในเมืองอาซาคุสะได้ดูสวยงาม สมจริง เพื่อบิ้วอารมณ์คนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร และจากจุดนี้หนังก็ทำได้สำเร็จ เราสามารถเห็นภาพบรรยากาศในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน จนบางทีก็อยากจะย้อนอดีตเพื่อไปชมความสวยงามนี้ด้วยตาตัวเองเลย
รวมถึง การโฟกัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ที่ทำได้ค่อนข้างลึก ถึงแม้ว่าหนังอาจจะเล่าเรื่องราวแบบยาว จึงทำให้มีช่วงที่ออกทะเล หรือฉากที่โดนรวบรัดเข้ามาบ้าง ซึ่งส่งผลให้หนังดูไม่มีความหวอหวาหรือตื่นเต้นในบางจังหวะ แต่โดยรวมแล้ว หนังสามารถเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์ได้ค่อนข้างดี ทำให้เหล่าคนดูซาบซึ้งไปกับมิตรภาพระหว่างศิษย์และอาจารย์ และจุดนี้เองก็ทำให้หนังน่าประทับใจเป็นพิเศษเลย
และสิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ การเจาะลึกถึงอาชีพตลกในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากหนังโฟกัสที่อาชีพตลกในประเทศญี่ปุ่นในช่วงยุค 60 เราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของอาชีพหายากที่พวกเราคงจะไม่คุ้นเคยกันสักเท่าไร ทำให้ได้รับรู้ถึงความเป็นไปของอาชีพนี้ นอกจากนี้หนังยังเล่าถึงการเปลี่ยนผ่านจากยุคเล่นตลกในโรงละครสมัยเก่า สู่การเล่นตลกไมโครโฟนบนจอทีวีหรือที่เรียกว่า มันไซ โดยนักแสดงต้องอาศัยไหวพริบอย่างมากในการแสดง ดูๆ แล้วก็คล้ายคลึงกับสมัยที่มีการเล่นตลกคาเฟ่ในประเทศไทย รวมถึงการเล่นตลกออกทีวีในยุคสมัยก่อน
จุดเด่น
หนังสร้างจากบันทึกความทรงจำของคิตาโนะ ทาเคชิ จากเรื่องจริงที่เขาต้องการจะสื่อออกมา
เป็นมุกตลกญี่ปุ่นที่ขำได้จริง และเข้าใจง่าย
ดราม่าความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ที่ชวนน้ำตาซึม
ถ่ายทอดประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านของวงการตลกในญี่ปุ่นคิตาโนะ ทาเคชิ ตัวจริงมาร่วมเล่นเป็นตัวเองด้วย
นักแสดงเป็นทาเคชิเล่นได้สมบาทเหมือนเหมือนตัวจริงมาก
มีเสียงพากย์ไทยที่คุณภาพดีเยี่ยม
จุดด้อย
การตัดเรื่องราวของตัวละครร่วมฝันกับทาเคชิในตอนแรกไปแบบไม่มีบทสรุปให้คนดูได้รับทราบเลย
เรื่องราวเป็นแค่ช่วงเวลาบางส่วนของทาเคชิเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ทำให้ดูเหมือนข้ามแบบรวบรัดในช่วงหลัง
ทาเคชิ คิตาโนะซัง เกิดเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2490 เป็นนักแสดงตลกชาวญี่ปุ่นผู้จัดรายการโทรทัศน์นักแสดงผู้สร้างภาพยนตร์และผู้เขียน แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักแสดงตลกและพิธีกรรายการโทรทัศน์ในประเทศญี่ปุ่น แต่เขาก็เป็นที่รู้จักในต่างประเทศจากผลงานในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์นักแสดงและพิธีกรรายการโทรทัศน์ ด้วยข้อยกเว้นของผลงานของเขาในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ที่เขาเป็นที่รู้จักกันเกือบเฉพาะโดยใช้ชื่อบนเวที จังหวะทาเคชิ
คิตาโนะมีชื่อเสียงโด่งดังในปี 1970 ในฐานะครึ่งหนึ่งของคู่หูตลก ทูบีท หรือตัวเข้าก็ได้รับฉายาว่า บีท ทาเคชี ก่อนที่จะฉายเดี่ยวและกลายเป็นหนึ่งในสามนักแสดงตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ หลังจากมีบทบาทการแสดงเล็ก ๆ หลายเรื่องเขาก็ได้มีผลงานการกำกับการแสดงผลงานใหม่ๆมากๆมาย แต่เขาก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่นจนฮานาบิ ในปี 1997 ในเดือนตุลาคม 2017 และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากเรื่อง Kitano ปี 1999 เขายังเป็นที่รู้จักในระดับสากลจากการเป็นเจ้าภาพเกมโชว์ Takeshi’s Castle และแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Battle Royale (2000) ในบทอาจารย์สุดมึนที่คนเกลียดกันทั่วโลก
เขาได้รับเสียงคัดค้านและไม่สนับสนุนทุกทางหลังจากที่หันหลังให้กับวงการตลกและเดินหน้าทำงานสำหรับการทำงานด้านภาพยนตร์ของ แต่เขามีนิสัยเสียแปลกๆที่ไม่ยอมแพ้ต่อเสีนยงคัดค้าน ซึ่งประโยคนี้เจ้าตัวออกมาบอกเองนะครับ จนในที่สุดก็ได้ชนะรางวัลมากมายและทำเป้าหมายให้สำเร็จ จนน๊อคนักวิจารณ์ภาพยนตร์ญี่ปุ่นด้วยหมัดฮุกอย่างสวยงาม โดยมีครั้งหนึ่งเขาเคยถูกขนานนามว่า “ผู้สืบทอดที่แท้จริง” หรือ ชินะโฮเท โดยเขามีส่วนร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของอากิระคุโรซาวา หนังหลายๆเรื่องของเขาจะเป็นหนังเกียวกับพวกแก๊งสเตอร์ ยากูซ่า หรือพวกตำรวจ แนวไล่ล่าอาชญกรรม สไตล์การตัดต่อของเขาเป็นการเล่นลูกเล่นการตัดฉากสลับไปมาแล้วยิงต่อทันทีทำให้ได้ความน่าตื่นตาตื่นใจในอีกรูปแบบหนึ่ง ภาพยนตร์หลายเรื่องของเขาแสดงถึงการถ่ายทอดที่เยือกเย็น แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและความรักที่มีต่อตัวละครอย่างสุดซึ้ง
หากชอบบทความนี้ สามารถติดตาม รีวิวหนัง สปอยหนัง ได้ที่ รีวิวมูฟวี่ออนไลน์