Home |
ลุงครับรักคืออะไร
เรื่องราวของ จอห์นนี่ นักข่าววิทยุบ้างานที่กำลังทำโปรเจกต์ออกเดินทางสัมภาษณ์เด็กๆ หนุ่มสาวทั่วอเมริกา ในหัวข้อ “ความหวัง” และ “วันพรุ่งนี้ ” เขาได้รับการติดต่อจากน้องสาว ผู้ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี เพื่อให้มาช่วยดูแลลูกชายของเธอแบบเฉพาะกิจ จึงทำให้เขาได้พบกับ เจสซี่ หลานชายที่แทบจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ได้ออกเดินทางข้ามประเทศ เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน รีวิวหนังออนไลน์
หนังฟรี ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “ไมค์ ไมล์ส” ที่เขายังรับหน้าที่เขียนบทหนังเองเช่นเคย และผลงานหนังเรื่องนี้ของเขาก็ยังคงไว้ด้วยสไตล์อันเป็นแนวคิดของตัวเองค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะการยั้งลึกเข้าไปถึงอารมณ์และความสัมพันธ์ของมนุษย์ เหมือนกับที่เคยทำเอาไว้ในผลงานก่อนๆ อย่าง “Beginners” หรือ “20th Century Women” แน่นอนว่าบทหนังเรื่องนี้คมคายเป็นอย่างมาก ทั้งสร้างและใสมิติในกับเรื่องราวได้ในหลายๆ ด้าน ขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้อย่างเข้มข้น
หนังมีปมประเด็นที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยใหญ่ แต่กลับหนักหน่วงเอาการอยู่ไม่น้อย เป็นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวกับสถาบันครอบครัวที่ถูกสอดแทรกเอาไว้อย่างมีกึ๋น เล่าเรื่องผ่านตัวละครเด็กกับผู้ใหญ่ที่เป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ และยังสอดแทรกทัศนคิตกับความคิดของเยาวชน ที่มีต่อมุมของโลกปัจจุบันที่พวกเขาดำรงชีพอยู่ เป็นเสียงแทรกเข้ามาที่ช่วยส่งเสริมความหนักแน่นให้กับแนวคิดของหนังได้อย่างเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นด้วย
ไดอะล็อกและบทหนังที่ว่าเยี่ยมแล้ว มาได้การแสดงดีๆ ของ “วาคีน ฟีนิกซ์” เข้ามาเสริม ต้องบอกว่าเขาแบกรับหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องเอาไว้ได้สบายๆ ทั้งการถ่ายทอดอารมณ์และการยั้งเข้าถึงบทบาทนั่น นี่คือลักษณะของนักแสดงมืออาชีพโดยแท้ และหนังก็ยังได้นักแสดงเด็กดาวรุ่งหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากๆ อย่าง “วู้ดดี้ นอร์แมน” ที่การแสดงของเด็กคนนี้จะทำให้ผู้ชมต้องทึ่งกับความสามารถของเขา ตัวเล็กๆ แต่เข้าถึงบทบาทและถ่ายทอดออกมาได้น่าเหลือเชื่อ ขนาดเป็นแค่นักแสดงเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น
ตัวหนังใช้ภาพขาวดำในการเล่าเรื่อง หนังใหม่ สัดส่วนก็จะเกือบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการทำแบบนี้เหมือนกัน แต่มันให้ความรู้สึกว่ามันอยู่เหนือกาลเวลา มันไม่ได้ดูเก่าและมันก็ไม่ได้ดูใหม่ มันลดทอนส่วนอื่น ๆ ไม่ให้เราหลุดจากเนื้อหา มันกลับกลายเป็นยิ่งทำให้เราโฟกัสเรื่องราวและจ้องมองสองตัวละครลุง-หลานมากขึ้นอีกต่างหาก แต่ฉากคั่น มุมกล้อง การจัดแสง การถ่ายทำออกมาอย่างงดงามไม่แพ้กัน
วู้ดดี้ นอร์แมน กลายเป็นหลานที่รัก ที่มาช่วยลุงวาคีนประคับประคองและจับมือพากันไปด้วยกันตลอดทั้งเรื่อง ระยะเวลา 100 นาทีนิดๆ ของหนังเรื่องนี้คือความอิ่มเอมและน่าประทับใจตลอดทุกช่วงนาที ขณะที่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ “แกบี้ ฮอฟมานน์” ที่ฉายแสงในหนังเรื่องนี้ได้ดีอีกคน กับการแสดงในแบบน้อยแต่มาก ออกมาทุกฉากถือว่าทรงพลังและใส่เต็มได้เป็นอย่างดี ทำการผนึกกำลังกันระหว่าง 3 นักแสดงหลักของเรื่องนี้…คือองค์ประกอบที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง
วิธีการเล่าเรื่องของ เว็บดูหนัง C’mon C’mon ถือว่าน่าสนใจและน่าประทับใจไม่น้อย การใส่ประเด็นหนักๆ ระหว่างความปวดร้าวและรอยร้าวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวของตัวละคร แทรกด้วยแนวคิดและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ ที่ตัวละครหลักออกเดินทางไปสัมภาษณ์และพูดคุยด้วยทั่วประเทศ คำตอบของเด็กๆ เหล่านี้ไม่ใช่แค่บทหนังดาดๆ ที่ใส่เอาไว้ทำเท่ แต่กลายเป็นกระจกสะท้อนความคิดของเยาวชนรุ่นใหม่ ทำให้เห็นพวกเขามีแนวคิดที่แตกต่างและเป็นเอกเขนกในรูปแบบเจเนอเรชั่นของตัวเอง
ดราม่าที่เล่าเรื่องครอบครัวยังไง จุดเริ่มมันคือ การที่จอห์นนี่ได้รับคำขอจากน้องสาวให้ช่วยดูแลเจสซี่หลานชายวัย 8 ขวบให้หน่อย ในระหว่างที่เธอต้องออกไปดูแลสามีที่ป่วยโดยปิดบังความจริงบางอย่างไม่ให้เจสซี่รู้ ขณะที่เจสซี่ก็อยู่ในวัยช่างเจรจา แสนรู้ แถมยังค่อนข้างปั่นหัวผู้ใหญ่ได้เก่ง ซึ่งนั่นทำให้จอห์นนี่ต้องปวดหัวกับการรับมือเด็กน้อยไม่เว้นวาย ขณะเดียวกัน หนังก็เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างพี่น้องที่ทำให้เหินห่างจากกัน และภารกิจการดูแลเจสซี่ครั้งนี้นี่แหละที่จะช่วยเปิดโลกและซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยให้กลับคืนดีดังเดิม
ฟังเหมือนนายแพทจะบอกเล่าเสียหมดเปลือก แต่ไม่ใช่หรอก เรื่องราวในหนังมันมีอะไรให้ติดตามมากกว่าที่เล่าไปนี่เยอะเลยแหละ
การรับมือกับเจสซี่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เว็บดูหนังฟรี คนดูอาจจะรู้สึกว่า เจ้าเด็กคนนี้มันทั้งน่าหมั่นไส้ น่ารำคาญ น่าปวดหัว แต่ก็กลับเป็นลุงจอห์นนี่ที่ได้อะไรจากเจสซี่ไปไม่น้อย พอๆ กับที่เจสซี่ได้จากลุงไปนั่นแหละ ความน่ารักของ Woody Norman ทำให้เราเกลียดน้องไม่ลง แต่ถ้าให้เลือกก็คงขอไม่เจอจะดีกว่า
เป็นหนังชิงรางวัล อาจจะพาคิดไปได้ว่าดูยากและเป็นหนังดราม่าอะไรทำนองนั้น แต่จริง ๆ หนังมันไม่ได้ดูยาก ไม่ได้ซับซ้อน มันเรียบง่ายและดูธรรมชาติสุด ๆ ผ่านการแสดงของ Joaquin Phoenix และ Woody Norman ที่ไม่ได้หวือหวา แต่พวกเขาแสดงได้ดีมาก เคมีความเข้ากัน การโต้ตอบผ่านบทสนทนาต่าง ๆ เราจะได้เห็นภาพลุง-หลาน เดิน เล่น คุย กิน นอน ทุกอย่างมันออกมาได้ธรรมชาติมาก ราวกับไม่ได้แสดงเลย ไอ้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้แหละที่มันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันน่ารักและเข้าถึงคนดูได้ง่ายมาก ไม่ต้องมีฉากบิ้วอารมณ์มากมาย ก็ออกมาดกินใจและคมคายสุด ๆ
อีกส่วนที่นำเสนอออกมาได้ดีไม่แพ้ความสัมพันธ์ของลุง-หลาน คือเรื่องราวการทำงานของตัวละคร Johnny เนี่ยแหละ เราจะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง บทสัมภาษณ์ต่าง ๆ ที่ตัวละคร Johnny ไปถามเด็ก และคำตอบของเด็กเหล่านั้นก็น่าทึ่งมาก ทั้งในแง่ของความคิดและทัศนคติต่าง ๆ มันช่างสะท้อนช่วงเวลาที่อ่อนโยนและเห็นถึงมุมมองของพวกเขาต่อโลกออกมาได้ดีมาก ๆ หลาย ๆ ประโยคนี่กระแทกใจคนวัยที่ไม่เด็กอย่างเราหลายประโยคเหมือนกัน
และไอ้เรื่องราวทั้งสองส่วนนั้นมันมาผสมผสานร้อยเล่าเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างลงตัว แอบมีคิดว่าเด็กโตมาอาจจะสูญเสียความคิด ทัศนคติ ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างออกไป ก็น่าเสียดายและน่าใจหายเหมือนกัน และมันก็ย้อนทำให้ตัวเราคิดไปว่าเราก็สูญเสียเรื่องพวกนั้นไปไม่น้อยเลย และในขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าเด็กไม่ได้เดียงสาหรืออ่อนต่อโลกขนาดนั้น และทั้งหมดทั้งมวลนั้นหนังเรื่องนี้เราได้เห็นว่าผู้ใหญ่ก็ได้รับอะไรจากเสียงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่น้อยเลย
และการเลือกใช้วิธีถ่ายทอดหนังออกมาในรูปแบบหนังขาว-ดำตลอดทั้งเรื่องนั้น ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิมมิกสำคัญที่ช่วยยกระดับการถ่ายทอดอารมณ์ให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี เพราะปมเรื่องราวของหนังนั้นก็เหมาะที่จะเล่าออกมาเป็นสีเทาๆ เพราะโลกใบนี้สำหรับบางคนก็ไม่มีสีสันเสมอไป ยังมีความเทาและความหม่นปะปนอยู่ในแต่ละช่วงชีวิตและจังหวะ และการเกลี่ยภาพเล่าออกมาในโทนนี้ของหนัง ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังขาว-ดำที่ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ
เมื่อพระเอกอย่างจอห์นนี่ผู้ที่ตะลอนไปทั่วเพื่อจ่อไมค์สัมภาษณ์หนุ่มสาวด้วยคำถามเรื่องอนาคต แต่ละคนต่างก็แสดงออกถึงความคิดของตนเอง ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าสนใจ ฟังไปก็ชวนให้ฉุกคิด ในความรู้สึกของผมนั้น นับว่าเป็นไอเดียที่ชาญฉลาดมากๆ เลย เมื่อตัวเอกต้องออกไปสัมภาษณ์ เขาจึงเปิดให้หนุ่มสาวได้แสดงออก ได้สื่อสารความคิดของพวกเขาที่มีต่อโลก ต่อผู้ใหญ่ ต่อตัวเอง หนังจึงพูดได้ทุกอย่างไม่ได้จำกัดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น แถมความคิดเหล่านั้นก็น่าสนใจมาก จนอยากจะเก็บไว้ดูซ้ำๆ หลายหนเลยจริงๆ ดูหนังฟรี
ส่วนเรื่องของลุงกะหลาน ก็ได้แง่คิดไปไม่น้อยเช่นกัน ความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างธรรมชาติ ระหว่างนั้นก็มีพี่สาวของจอห์นนี่เข้ามามีส่วน ก่อนปรับตัวเข้าหากัน หนังมีผลบางอย่างกับจิตใจระหว่างดู เพราะมันชวนให้ไถ่ถามตัวเอง ว่ายามเราโตเป็นผู้ใหญ่ เราได้ทิ้งบางอย่างตอนเรายังเป็นเด็กไปเสียหมด ชวนให้ลองดึงมันกลับมาบ้าง ทั้งบางส่วนยังช่วยปลอบประโลม สร้างกำลังใจให้กับคนดูได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
การที่หนังทั้งเรื่องดำเนินไปด้วยการใช้ภาพขาวดำ ทีแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจในที่มาของการเลือกใช้ รับรู้ในระหว่างดูว่า มันก็แปลกดี ต่อเมื่อได้อ่านบทสัมภาษณ์และพบว่า Mike Mills ผู้กำกับเขามองเห็นว่า มันเป็นหนังที่เล่าเรื่องของลุงกับหลานที่เดินทางไปในสถานที่(เมือง)ต่างๆ ความรู้สึกของผู้ชมจึงเหมือนกับกำลังเปิดอ่านนิทานเรื่องหนึ่งอยู่ ด้วยเหตุนี้แหละมั้ง เขาจึงเลือกใช้ภาพขาวดำแทนที่จะใช้ภาพสี
ในระหว่างทาง หนังเต็มไปด้วยคำพูด คำสนทนามากมายที่สามารถจะตัดออกมาเป็นประโยคชวนฉุกคิดได้แทบทั้งหมด ทั้งยังสลับเล่าถึงหนังสือที่จอห์นนี่เปิดอ่าน ซึ่งนั่นก็เต็มไปด้วยแง่มุมที่น่าสนใจเช่นกัน
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การแสดงที่เป็นธรรมชาติของตัวแสดงหลัก ไม่ว่าจะเป็น Joaquin Phoenix ที่ก็เชื่อได้ในความสามารถจากหลายเรื่องที่ผ่านๆ มา หรือ Woody Norman เด็กชายชาวลอนดอนวัย 11 ขวบที่ต้องเล่นเป็นเด็กอเมริกันวัย 9 ขวบ ทั้งคู่ต่างเล่นกันได้อย่างเป็นธรรมชาติจนเหมือนเป็นลุง-หลานกันจริงๆ หลายช็อตทำเอาขำคิกคัก แต่บางช็อตก็อาจชวนอบอุ่นน้ำตาซึม
แอบเสียดายไม่น้อย ดูหนังออนไลน์ C’mon C’mon แทบไม่มีบทบาทบนเวทีรางวัลออสการ์ในปีนี้เลย ทั้งที่มีหลายๆ องค์ประกอบที่หนังหนักแน่นเพียงพอที่จะติดโผเข้าชิงด้วยซ้ำ อย่างน้อย บทภาพยนตร์ก็ถือว่าโดดเด่นพอสู้กับใครได้ การแสดงอันน่าประทับใจของ วาคีน ฟีนิกซ์ ก็ถือว่าขั้นเกณฑ์ที่เหมาะจะมีที่นั่งในสาขานักแสดงชาย ขณะที่ วู้ดดี้ นอร์แมน ก็น่าจะได้เป็นนักแสดงเด็กอายุน้อย ที่มีโอกาสได้เข้าชิงนักแสดงสมทบชายปีนี้ด้วยซ้ำ
เป็นหนังดราม่าที่จะบอกว่าฟีลกู้ดก็ไม่น่าจะใช่ แต่มันเป็นสไตล์ coming-of-age ที่ค่อนข้างหนักหน่วงด้วยภาวะอารมณ์ แต่ไม่ได้หม่นหมองและหนักอึ้งอะไรจนเกินไป แต่คนดูจะได้เรียนรู้ชีวิตผ่านลุงกับหลานคู่นี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ผ่านมุมมองความเป็นผู้ใหญ่ที่บางครั้งก็ยังคิดเป็นเด็กๆ ผ่านมุมมองความเป็นเด็กที่บางครั้งกลับคิดแบบผู้ใหญ่ นี่จึงเป็นหนังที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากๆ และเมื่อหนังจบแล้ว…น้ำตาซึมเบาๆ ได้เลย
ปล. หนังเรื่องนี้เป็นเครดิตพิเศษตอนท้ายเรื่อง แต่ไม่ได้มีฉากพิเศษอะไรหรอกนะ เป็นเครดิตเสียงพิเศษที่อยากจะนั่งฟังไปเรื่อยๆ ไปจนเครดิตรายชื่อของหนังจบเลยก็ดี