Home |
ใจฟูสตอรี่
หนังไทยแนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่เห็นว่าฟีลกู้ดมาแต่ไกล รีวิวหนังตลก เป็นแนวหนังที่ไม่ค่อยได้ผลิตออกมาป้อนวงการหนังแบบถี่ ๆ เหมือนเดิมสักเท่าไหร่แล้ว และนี่ก็คือ หนังฟรี “ใจฟู..สตอรี่” หนังที่อันที่จริงเราเกือบจะได้ดูชมกันมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่บัดนี้ก็แล้วเสร็จพร้อมฉายออกสู่สายตาผู้ชม กับรูปแบบความรักที่ย่อยง่ายทั้ง 5 สไตล์ ที่ต้องยอมรับตรง ๆ ดูหนังฟรี เลยว่า..ทำให้เพลินจนลืมเวลาไปเลย
ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ตุ๋ย-พฤกษ์ เอมะรุจิ ดูหนังออนไลน์ ผู้กำกับที่ฝากผลงานไว้กับแฟรนไชส์ไบค์แมน และ อีเรียมซิ่ง ซึ่งคราวนี้ก็กลับมาพร้อมภาพยนตร์คอมเมดี้ในสไตล์ที่เขาถนัด พร้อมเสิร์ฟคนดูในแบบ 5 คู่ 5 เรื่องราว และ 5 รสชาติ โดยเป็นการร่วมมืองานสร้างระหว่าง เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ (M39 Pictures) และ ไท เมเจอร์ (TAI MAJOR)
หนังรักที่มีเนื้อหาแบบเรื่องสั้นจบในตอน ซึ่งแทรกไว้ในภาพยนตร์ขนาดยาวอีกที โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ ‘เดี่ยว’ (แสดงโดย พีช-พชร จิราธิวัฒน์) นักเขียนบทภาพยนตร์ผู้กำลังมาเฝ้าแม่ที่ป่วยหนัก ต้องปั่นบทหนังให้ทันก่อนจะถึงเดดไลน์ ในระหว่างนั้นเขาได้รู้จักกับ ‘บัว’ (แสดงโดย มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร)ครูสอนเปียโนที่มาเฝ้าคนไข้ที่โรงพยาบาล เดี่ยวจึงให้บัวได้ดูบทหนังที่รักที่เขาเขียนขึ้น และเรื่องราวในตอนที่ 1 ‘คนแปลกหน้า’ จึงเริ่มขึ้นนับแต่นั้น ต่อมาคือเรื่องราวตอนที่ 2 ‘คนตรงข้าม’ เล่าถึงหนุ่มสาวในคอนโดคู่หนึ่งที่รู้จักกันแบบ Social distancing จนพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงจุดที่กลับตัวไม่ได้ และตอนที่ 3 เรื่อง ‘คนข้างบ้าน’ ที่บอกเล่าเรื่องราวปั๊บปีเลิฟของคู่หนุ่มสาวมัธยม ซึ่งเล่าถึงความห่างไกลในระยะความสัมพันธ์ จากนั้นก็มาถึงตอนที่ 4 ‘คนที่เกลียด’ ซึ่งเป็นเรื่องราวของหนุ่มเดลิเวอรีที่บังเอิญพบว่า คู่แข่งที่ซิ่งกับเขาอยู่เป็นประจำก็คือสาวลึกลับที่รู้จักตัวตนเขาทุกอย่าง และตอนสุดท้ายอย่าง ‘คนแอบชอบ’ เป็นเรื่องราวของหนุ่มร้านสะดวกซื้อที่แอบชอบพยาบาล แต่อนิจจาเธอดันมีคนที่ชอบแล้วซะงั้น โดยรักวุ่น ๆ ทั้ง 5 เรื่องนี้ก็ร้อยเรียงกัน
เรื่องราวของคน “ใจฟีบ” ที่ต้องให้ความรักช่วยแก้ให้ “ใจฟู” กับความรักสุดฟิน สุดฟู ของ 5 คู่หนุ่มสาว ผ่านการเล่าเรื่องของนักเขียนบทหนุ่ม และ สาวเฝ้าไข้ ที่อยู่หน้าห้องเดียวกัน โดยมีรัก 5 เรื่องสลับกันเล่าเรื่องราว ที่น่ารัก น่าฉงน ปะปนกันไป ก็อย่างที่เกริ่นไว้หนังจะค่อย ๆ เล่าเรื่องราวความรักแต่ละเรื่อง ที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันอะไรเท่าไหร่ แต่กลับเชื่อมโยงร้อยเรียงออกมาเป็นโทนรักที่มีเป้าหมายเดียวกัน
นี่คือผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับอารมณ์ดี “พฤกษ์ เอมะรุจิ” ผู้ซึ่งเคยประสบความสำเร็จอย่างปังสุด ๆ มาจาก อีเรียมซิ่ง ที่เป็นผลงานเรื่องที่แล้ว กลับมาในคราวนี้เหมือนปรับเป็นคนโหมดกันเลยทีเดียว เพราะเขาต้องลดดีกรีความฮาแบบร้อนแรงลงไปหลายดีกรี และใส่ความฟุ้งในรักเข้าไปแทนแบบเยอะมาก ๆ และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ผู้กำกับรายนี้ก็สามารถผลิตและทอดถ่ายหนังรักออกมาได้จังหวะที่กลมกล่อมใช้ได้อยู่นะ
อย่างที่บอกไว้ที่พาดหัวของรีวิวหนังเรื่องนี้เลยว่า ใจฟู..สตอรี่ เป็นหนังรักที่พล็อตมาแบบง่ายมาก ๆ แบบสูตรสำเร็จจับวางเป็นจุด ๆ ที่แทบจะหาความแปลกใหม่อะไรไม่ได้เลย โครงเรื่องแต่องค์ประกอบก็ไม่ใช่อะไรที่เกินคาดเดา คือคลำทางถูกตั้งแต่เปิดเรื่องแต่เรื่องมาได้ไม่กี่ซีน แต่บนความที่ไร้ความแปลกใหม่เล่านั้น กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ช่วยหนุนหนังเรื่องนี้ไปได้ตลอดทาง เนื้อหาที่ย่อยง่ายมาก ๆ สื่อตรงไปถึงคนดู ทำให้ช่วง 2-3 เรื่องแรกของหนังนั้น มัดใจผู้ชมเอาไว้ได้ค่อนข้างอยู่หมัด
แม้ว่าองค์ประกอบของบทหนังในแต่ละองก์นั้น จะค่อนข้างอ่อนปวกเปียกตามสไตล์พล็อตของหนังไทย ที่ค่อนข้างซ้ำซากและแบนไม่ค่อยเห็นแกนมิติเท่าไหร่ แต่จังหวะและดีไซน์ที่ ใจฟู..สตอรี่ นำมาร้อยเรียงเล่าเรื่องเป็นเช่นนี้ต่างหาก ที่กลายเป็นลูกเล่นที่ช่วยประคับประคองหนังทั้งเรื่องเอาได้ในระดับที่น่าพอใจ และเป็นหนังไทยที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกดูไปแบบทรมาน แต่กลับรู้สึกอิ่มเอมใจไปกับเรื่องรักในแต่ละท่วงทำนอง
หนังมีองค์ประกอบศิลป์ที่งดงามมาก ๆ เพราะพร็อพประกอบและการจัดฉากในเรื่อง ถูกบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ซึ่งองค์ประกอบศิลป์ที่ดีจะทำให้จะทำให้คนดูรู้สึกเชื่อมโยงกับหนังได้มากขึ้น เช่น ในตอนคนตรงข้าม ที่นางเอกต้องกักตัวอยู่ในห้อง เราจะเห็นได้ว่าตัวละครมีการใส่เสื้อเก่า ๆ เพราะไม่ได้ออกไปไหน ซึ่งทำให้เราเข้าใจเลยว่าทีมอาร์ตเรื่องนี้ใส่ใจถึงความสมจริงเป็นอย่างดี หรือจะเป็นตอน คนข้างบ้าน ที่ให้พระเอกตัดผมรองทรง ซึ่งเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ใส่ใจถึงดีเทลทรงผมจริง ๆ ของเด็กนักเรียน โดยองค์ประกอบเล็ก ๆ เหล่านี้ ผ่านการคิดมาให้เกี่ยวเนื่องกับบทและสถานที่ เป็นสิ่งที่ขับความเป็นธรรมชาติออกมา จนทำให้คนดูอินกับหนังได้มากขึ้น
ที่ไม่ชมไม่ได้เลย คือฝีมือการกำกับภาพที่บรรจงวางเฟรมการถ่ายทำอย่างดีในทุกซีน ทุกจังหวะใช้เทคนิคการเล่นกับมุมกล้องได้ดี ถ้าใครชอบหนังภาพสวย น่าจะดูเรื่องนี้ได้อย่างเพลิน ๆ เลยล่ะ
ประทับใจกับการสร้างบรรยากาศต่าง ๆ ขึ้นในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะมุมภาพและมุมกล้อง รวมไปถึงการเซ็ตติ้งฉากและแสงสีต่าง ๆ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างละเอียดและสื่อไปถึงอารมณ์ของตัวละครแต่ละเรื่องได้ดี ไม่เน้นความฟุ้งโรแมนติกจนเกินไป กำลังถักทอออกมาเป็นหนังรักที่กำลังละมุนได้ดีไปตลอดทาง และสุดท้ายก็สามารถร้อยเรียงทุกองค์ประกอบออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจ
จุดบอดใหญ่อยู่ที่บทหนัง แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความหลากหลายของตัวละคร แต่บทกลับมีแต่ความจำเจเต็มไปหมด เช่น ในทุกตอนความสัมพันธ์จะจำกัดที่คู่ชาย-หญิงแค่นั้น แต่ละตอนก็มักจะเปิดเรื่องราวด้วยมุมมองของฝ่ายชาย และค่อยไปเล่าเส้นเรื่องของฝ่ายหญิงทีหลัง ซึ่งทำให้เราเดาแพตเทิร์นได้ไม่ยากเลยว่า แต่ละตอนมันจะเล่าอะไรบ้าง
หนังเลือกที่จะแสดงออกในการนำเสนอแบบปกติ แต่กลับให้ตัวละครเลือกแสดงออกด้วยการกระทำหรือบทพูดที่มีความเป็นการ์ตูนออกมา จนทำให้เรารู้สึกว่าบทหนังค่อนข้าง ’เบียว’ แบบไม่ถูกจังหวะเอามาก ๆ
ซึ่งปัญหานี้ก็ส่งผลถึงกลุ่มก้อนสถานการณ์ในเรื่อง เพราะแต่ละตอนในเรื่องเป็นเรื่องสั้น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แต่พอมันถูกโยนเข้ามารวมกันแบบมัดมือชก บทจึงออกมาแบบขาด ๆ เกิน ๆ ทำให้จังหวะของหนังดูเร่งรีบไปหมด คนดูไม่ทันได้ตกตะกอนกับสิ่งที่เกิดขึ้น หนังก็ตัดไปอีกฉากแล้ว
ได้ทีมนักแสดงและแคสติ้งที่ค่อนข้างแตะต้องเข้าถึงบทได้ดี สื่อสารอารมณ์แต่ละคาแรกเตอร์ก็ดี แม้ว่าโดยรวม ๆ แล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนดูหนังสั้นหรือมิวสิกวิดีโอสตอรี่เรื่องต่าง ๆ มาปะติดปะต่อกันประมาณนั้น แต่ก็มาพร้อมด้วยองค์ประกอบที่น่าพอใจดี
ทีมแคสติ้งนี้เล่นได้ค่อนข้างดีหมด ไม่ว่าจะเป็น พีช พชร กับ มินนี่ ภัณฑิรา เป็นคู่ตัวยืนของเรื่องทั้งหมด ที่ต้องยอมรับเลยว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี และขับเสน่ห์กับเคมีออกมาได้ล้นหลามดี ในขณะที่ ณัฏฐ์ กิจจริต กับ เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา ก็ถ่ายทอดได้ธรรมชาติดีตามลีลาการแสดงอันน่าหลงใหลของพวกเขา เช่นเดียวกับคู่น้องเล็ก ทิกเกอร์ อชิระ กับ เพียว เพียววรินทร์ ที่นับว่าเป็นน้องใหม่ทางการแสดงที่ทำให้คนดูรู้สึกอิ่มเอมตามไปด้วย
ขณะที่ ชิม่อน วชิรวิชญ์ กับ ปั๋น ดริสา ก็เล่นได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้มีบทบาทการแสดงที่ซับซ้อนอะไรสักเท่าไหร่ และปิดท้ายด้วย ลี ฐานัฐพ์ กับ ฝน ศนันธฉัตร ก็สามารถแบกรับตอนของตัวเองด้วยหน้าที่ที่กำลังพอเหมาะพอดี แม้ว่าจะแอบเสียดายที่มิติขององก์นี้ค่อนข้างจะตื้นเขินเบาบางออกจะเพ้อ ๆ ไปสักหน่อย แต่โดยภาพรวมนั้นในภาคของการแสดง ถือว่าทุก ๆ องก์รับหน้าที่ของตัวเองได้ดี
สิ่งที่น่าเสียดายรองจากบทคือนักแสดง ซึ่งไม่ใช่พวกเขาเล่นไม่ดีนะ ทุกคนก็เล่นได้ดีเลยล่ะ แต่เพราะบทไม่ได้ถูกเขียนมาอย่างพิถีพิถันทำให้หนังเรื่องนี้ไม่สามารถขับเสน่ห์ของนักแสดงออกมาได้หมด เรียกได้ว่าแต่ละคนมาเพื่อ Cameo ด้วยซ้ำไป และเป็นอะไรที่น่าเสียดายเอามาก ๆ
หนังรักคอมเมดี้ดูง่าย หากไม่คิดอะไรก็สามารถดูเพลิน ๆ ได้เลย มีเสน่ห์ด้วยจังหวะตลกของนักแสดง และด้วยความเล่นท่ายากด้วยการใช้ 10 ตัวละครหลัก ก็อาจทำให้บางคนรู้สึกชอบเพราะบางตัวละครนั้นเหมือนกับตัวเราโดยไม่ตั้งใจ แต่ทว่าด้วยบทที่ไม่ได้พิถีพิถันนัก ก็ทำให้หนังไม่สามารถขับเสน่ห์ของนักแสดงออกมาได้หมด และจบไปอย่างไม่น่าจดจำเท่าใดนัก
ถึงแม้ว่า อาจจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบอะไร แต่ต้องยอมรับว่าหนังก็ไม่ได้แย่อะไรสักนิด เป็นหนังไทยที่ว่าด้วยความรักที่จังหวะที่สนุกและง่าย ๆ ถึงจะไม่มีอะไรซับซ้อนเลยก็ตาม กับการใช้สูตรสำเร็จแบบหาความแปลกใหม่มาเล่าเรื่อง แต่มันกลับเป็นการขับเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไม่รู้ตัว และเมื่อองค์ประกอบทั้ง 5 บทบาทของเรื่องนี้นำมาประกอบร่างกันเป็นเรื่องเดียวกัน ก็กลายเป็นหนังที่เติมเต็มหัวใจของผู้ชมไปได้เต็ม ๆ นี่คือหนังรักที่ไม่ได้เพอร์เฟคทุกอย่าง แต่กำลังหอมกรุ่นกำลังดี แบบฟลูฟีลใจ